ปปช.ยึดคำวินิจฉัยศาลรธน.เป็นหลัก ตีตกข้อกล่าวหา อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ออกพรก.บริหารน้ำฯ

19 เมษายน 2562, 13:46น.


หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีมติตีตกข้อกล่าวหาน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี กับพวกลงมติเห็นชอบพระราชกำหนดกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำวงเงิน 350,000 ล้านบาท(สามแสนห้าหมื่นล้านบาท) โดยมิชอบ



นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ในฐานะโฆษกสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อกล่าวหาไม่มีมูลเพียงพอ จึงมีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป  พร้อมชี้แจงเพิ่มเติมว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นกรณีกล่าวหาว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรีขณะนั้น กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญาจากการร่วมกันลงมติและเห็นชอบในการออกพระราชกำหนดดังกล่าว อันเป็นการขัดต่อมาตรา 169 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนรวบรวมพยานหลักฐาน





ต่อมาวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 มีการประชุมพิจารณาเรื่องดังกล่าว โดยนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ได้วินิจฉัยไว้ว่าการตราพระราชกำหนดดังกล่าวนั้น เป็นการทำเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศและป้องกันภัยพิบัติสาธารณะตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรคหนึ่ง อีกทั้งการตราพระราชกำหนดดังกล่าวก็เป็นกรณีฉุกเฉินจำเป็นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ว่าการตราพระราชกำหนดนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง



คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติจึงมีมติเอกฉันท์ไม่พบว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์  คณะรัฐมนตรีและพวกได้ร่วมกันตราและเห็นชอบพระราชกำหนดดังกล่าวโดยไม่สุจริตหรือใช้ดุลพินิจบิดเบือน ไปจากหลักการรัฐธรรมนูญ ข้อกล่าวหาดังกล่าวจึงไม่ปรากฏพยานหลักฐานเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดได้กระทำผิดตามที่กล่าวหา จึงให้ข้อกล่าวหาตกไป



สำหรับข้อกล่าวหาการกู้เงินที่พ้นเวลาที่กฎหมายกำหนด ประเด็นการดำเนินโครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2550 ในมาตรา 57 วรรคสอง และมาตรา 67 วรรคสอง และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงประเด็นการกำหนดรายละเอียดขอบเขตงานในโครงการดังกล่าวที่มีลักษณะเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนบางรายนั้น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีมติให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นองค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริง ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการไต่สวน

ข่าวทั้งหมด

X