ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 08.30 น.วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563

21 กันยายน 2563, 09:26น.



องค์การอนามัยโลก ใช้สมุนไพรรักษาโควิด-19



          องค์การอนามัยโลก ประกาศระเบียบวิธีในการทดลองใช้สมุนไพรที่มีศักยภาพในการรักษาโรคระบาดทั้งหลายรวมทั้งโรคโควิด-19 โดยอิงอยู่กับขั้นตอนการทดลองยาชนิดอื่นๆ ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยห้องปฏิบัติการทดลองทั่วไปทั้งในเอเชีย, ยุโรป และทวีปอเมริกา การกำหนดแนวทางที่ชัดเจนดังกล่าวมีขึ้นหลังจากนายแอนดรี ราโจลินา ประธานาธิบดีมาดากัสการ์ ประกาศส่งเสริมการใช้เครื่องดื่มสมุนไพร ซึ่งสกัดจากพืชอาร์เทมิเซีย หรือโกฐจุฬาลัมพา เป็นสมุนไพรที่มีการนำมาใช้ทางการแพทย์แผนไทยและแพทย์แผนจีน เดิมมีประสิทธิภาพใช้รักษาผู้ป่วยมาลาเรียให้นำมาใช้เพื่อรักษาโรคโควิด-19ได้



          องค์การอนามัยโลก ระบุว่า การประชุมร่วมกับตัวแทนของศูนย์เพื่อการควบคุมและป้องกันโรคแห่งแอฟริกา (เอซีดีซี) และคณะกรรมการเพื่อกิจการสังคมแห่งสหภาพแอฟริกา ที่ประชุมได้ตกลงกำหนดระเบียบวิธีสำหรับการทดลองยาสมุนไพรเพื่อการรักษาโควิด-19 และโรคระบาดอื่นๆ ในตัวอย่างทดลองที่เป็นคนในระยะที่ 3  รวมถึงกำหนดค่าอ้างอิงสำหรับคณะกรรมการตรวจสอบด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการทดลองในคนระยะที่ 3 นี้ เพื่อประเมินความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ใหม่ๆ ที่เป็นสมุนไพร หรือยาพื้นบ้าน



         นายพรอสเพอร์ ทูมูซีม ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกประจำภูมิภาคพื้นแอฟริกา ระบุว่า หากพบว่ามีประสิทธิภาพและปลอดภัยจริง โดยมีหลักประกันคุณภาพของสมุนไพรเหล่านั้น องค์การอนามัยโลกก็พร้อมที่จะเร่งรัดให้เกิดการผลิตขนาดใหญ่ขึ้นในท้องถิ่นนั้นๆ



เตรียมตั้งสถานกักกัน รองรับชาวต่างชาติใช้บริการกิจการสปา



         นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กำลังดำเนินการจัดตั้งสถานกักกันในกิจการเพื่อสุขภาพ (Wellness Quarantine) รองรับการนำชาวต่างชาติที่สุขภาพแข็งแรงและปลอดเชื้อโควิด-19 เข้ามาใช้บริการกิจการสปาและการส่งเสริมสุขภาพ ยืนยันว่าระบบที่ดำเนินการมีความปลอดภัย 



        จากข้อมูลถึงวันที่ 18 ก.ย.มีผู้ป่วยชาวต่างชาติเดินทางมารักษาจำนวน 568 คน เป็นผู้ป่วย 321 คน และผู้ติดตาม 247 คน พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน  5 คน เป็นผู้ป่วย 2 คน และผู้ติดตาม 3 คน อยู่ระหว่างการขออนุมัติ 1,629 คน อนุมัติแล้ว 878 คน สามารถสร้างรายได้ 25.4 ล้านบาท เนื่องจาก มีการเปิดระบบให้ผู้ป่วยและญาติได้ซื้อสินค้าและเรียนออนไลน์ แต่หากเข้ามารักษาทั้งหมดตามที่ขออนุมัติ ประมาณการสร้างรายได้ 141.2 ล้านบาท เมื่อรวมกับการเปิดสถานกักกันในกิจการสุขภาพ และการท่องเที่ยว หลังกักตัวครบ 14 วัน ประมาณการรายได้ไม่ต่ำกว่า 605 ล้านบาท



สธ.จะสรุปผลการคัดกรองผู้ชุมนุม เตรียมรับมือชุมนุมครั้งต่อไป



         นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีภาวะฉุกเฉิน กล่าวถึง ผลการดำเนินการรับมือป้องกันโรคโควิด-19 ในกรณีการชุมนุมทางการเมืองว่า สธ.ตั้งจุดบริการสาธารณสุขบริเวณพื้นที่การชุมนุม ไม่พบผู้ป่วยอาการรุนแรงมีเพียง 2-3 คน เป็นผู้สูงอายุ และมีโรคประจำตัว จึงได้ส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาล ทีมปฏิบัติงานจะประชุมสรุปผลและวางแผนการทำงานต่อไป คาดว่า จะได้แนวทางปฏิบัติเพิ่มเติม



        ด้าน นพ.เอนก มุ่งอ้อมกลาง ผู้อำนวยการสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) กล่าวว่า การทำงานแต่ละช่วงจะพบปัญหาบ้าง และมีความแตกต่างกันออกไป เจ้าหน้าที่จึงได้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า จะประชุมผลการดำเนินงานที่ผ่านมา 2 วัน เพื่อถอดบทเรียนหารือกันว่ามีปัญหาอะไรบ้าง เพื่อวางแผนรับมือการชุมนุมในครั้งต่อไป 



มธ.-กรมศิลปากร เตรียมแจ้งความเอาผิดผู้ชุมนุม



         การดำเนินคดีกับผู้ชุมนุม รายงานระบุว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และกรมศิลปากร (ศก.) เตรียมเข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่สน.ชนะสงคราม เพื่อดำเนินคดีเอาผิดกับแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม กรณีพังรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เข้าไปจัดกิจกรรมบริเวณภายใน เมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 19 ก.ย. รวมถึงกรณีปักหมุดคณะราษฎร หมุดที่ 2 บริเวณท้องสนามหลวง โบราณสถาน เมื่อช่วงเช้าวันที่ 20 ก.ย.ทั้งนี้ ความผิดเกี่ยวกับเรื่องปักหมุดเป็นในส่วนของกรมศิลปากร ขณะที่ความผิดเกี่ยวกับเรื่องพังรั้วเป็นในส่วนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์



         พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึง กรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมเจาะพื้นผิวสนามหลวงเพื่อปักหมุดคณะราษฎรว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของฝ่ายกฎหมาย 2 หน่วย คือ กรุงเทพมหานครที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลพื้นที่สนามหลวงและกรมศิลปากรที่รับผิดชอบโบราณสถาน หากเข้าข่ายความผิดชัดเจน ตัวแทนทั้ง 2 หน่วยงานจะเข้าแจ้งความดำเนินคดีตามขั้นตอน ในความผิดฐานทำให้โบราณสถานเสียหาย เสื่อมค่า ไร้ประโยชน์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีภาพและเสียงชัดเจนว่าใครทำความผิดบ้าง หลังจากนี้จะเอาข้อมูลการกล่าวปราศรัยพาดพิงมาพิจารณาว่ามีความผิดในข้อหาใดบ้าง



หมุดคณะราษฎร ถูกรื้อถอนจากสนามหลวงแล้ว



         มีรายงานว่า เมื่อช่วงเช้า พบว่า มีการรื้อหมุดคณะราษฎรที่ 2 บริเวณท้องสนามหลวง ถนนราชดำเนินกลาง แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร ออกไปแล้ว หลังจากที่กรุงเทพมหานคร ได้ปิดพื้นที่ไม่ให้เข้าเมื่อเวลา 22.00 น.วันที่ 20 ก.ย. และได้เปิดประตูรั้วเมื่อเวลา 05.00 น.จากการเข้าไปตรวจสอบพบว่าหมุดถูกรื้อถอนออกไปโดยมีปูนซีเมนต์เทปิดทับไว้ ร่องรอยของปูนที่โบกแทนที่หลุมหมุดยังไม่แห้ง



 



 




 

ข่าวทั้งหมด

X