ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 19.30 น.วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563
โนอึลอ่อนกำลังเป็นดีเปรสชั่น เคลื่อนเข้ามุกดาหารแล้ว
นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) กล่าวภายหลังประชุมคณะทำงานฯ เพื่อติดตามและประเมินสภาพอากาศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยพบว่า ขณะนี้พายุโซนร้อน"โนอึล" ได้เคลื่อนเข้าสู่พื้นที่จังหวัดมุกดาหารแล้ว ซึ่งได้ลดระดับลงจากพายุโซนร้อน เป็นพายุดีเปรสชั่นก่อนจะกลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำในโซนภาคกลางของประเทศ จากนั้นจะเคลื่อนผ่านภาคเหนือเข้าสู่ประเทศเมียนมาในระยะต่อไป
กอนช.คาดการณ์ว่าจะมีพื้นที่เสี่ยงดินโคลนถล่มและน้ำป่าไหลหลากรวม 33 จังหวัด ประกอบด้วย ภาคเหนือ 10 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 จังหวัด ภาคกลาง 2 จังหวัด ภาคตะวันออก 5 จังหวัด ภาคตะวันตก 1 จังหวัด ภาคใต้ 5 จังหวัด และจังหวัดเสี่ยงน้ำล้นตลิ่งในลำน้ำหลายหลักใน 24 จังหวัด 94 อำเภอ 194 ตำบล แบ่งเป็น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 15 จังหวัด และภาคเหนือ 9 จังหวัด
วันนี้ต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ในแม่น้ำสาขา ก่อนที่ลำน้ำสายหลักจะเพิ่มระดับสูงขึ้นในวันถัดไป ประกอบด้วย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 9 แห่ง ได้แก่ แม่น้ำสงคราม แม่น้ำมูล แม่น้ำห้วยหลวง แม่น้ำชี แม่น้ำห้วยโมง ลำน้ำพุง ลำน้ำเซบาย ลำน้ำเซบก ลำน้ำยัง และภาคเหนือ 3 แห่ง ได้แก่ แม่น้ำยม แม่น้ำน่าน แม่น้ำป่าสัก และสำหรับสถานการณ์ในแม่น้ำโขงนั้นยืนยันว่า จะไม่ได้รับผลกระทบจากพายุ โดยระดับน้ำในแม่น้ำโขงจะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 50 ซม.
นอกจากผลกระทบแล้ว กอนช.ยังประเมินถึงผลดีจากอิทธิพลของพายุโนอึลที่จะช่วยให้มีน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำมากขึ้น รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,140 ล้าน ลบ.ม. คาดว่า จะมีปริมาณน้ำไหลเข้าเป็นจำนวนมาก อาทิ เขื่อนสิรินธร คาดน้ำไหลเข้า 171 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนรัชชประภา 136 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนสิริกิติ์ 123 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนวชิราลงกรณ์ 91 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนภูมิพล 73 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนศรีนครินทร์ 71 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน 58 ล้าน ลบ.ม. เป็นต้น ในขณะที่เขื่อนอุบลรัตน์ซึ่งมีปริมาณน้ำน้อย คาดว่าจะมีน้ำไหลเข้าเพิ่มขึ้นเพียง 29 ล้าน ลบ.ม.
สปสช. พร้อมดูแล ผู้ใช้บัตรทอง ในสถานพยาบาลที่ถูกยกเลิกเพราะทุจริต
หลังสื่อสังคมออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการไปใช้บริการโรงพยาบาลหรือคลินิกหลายแห่งในพื้นที่ กทม.แต่พบป้ายประกาศว่ายกเลิกเป็นเครือข่ายบัตรทอง และเตรียมให้ผู้ป่วยไปรักษาตามสิทธิบัตรทองที่โรงพยาบาลอื่นนั้น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช.ชี้แจงว่าสิทธิบัตรทอง 800,000 ราย จาก 64 คลินิก-รพ. ที่เลิกสัญญา สามารถเข้ารักษาใกล้บ้านได้ทุกแห่ง
นพ.การุณย์ คุณติรานนท์ รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ก่อนหน้านี้จากการยกเลิกสัญญาการให้บริการคลินิกชุมชนอบอุ่น 18 แห่ง ที่พบการทำผิดสัญญาการให้บริการสาธารณสุขในระบบ เมื่อวันที่ 9 ก.ค.63 มีประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทองได้รับผลกระทบประมาณ 200,000 ราย โดย สปสช.ได้ดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด
นอกจากนั้น ยังได้ประสานไปยังหน่วยบริการในพื้นที่ กทม.ไว้แล้ว โดยให้ประชาชนผู้มีสิทธิที่ได้รับผลกระทบสามารถไปรับบริการที่หน่วยบริการใน กทม. ที่ร่วมเป็นหน่วยบริการบัตรทองใดก็ได้ ในระหว่างที่ สปสช.พยายามหากผู้ประกอบการคลินิกรายใหม่ทดแทน โดยสปสช. เขต 13 กทม.ได้เตรียมระบบรองรับ ซึ่งในส่วนของเวชระเบียนประชาชนสามารถขอได้ที่คลินิกหรือที่ศูนย์บริการสาธารณสุขในพื้นที่กทม.
สำหรับภาพรวมการตรวจสอบคลินิกเอกชนที่พบปัญหาหลักฐานเท็จเบิกจ่าย เริ่มแรก สปสช.ได้ตรวจสอบคลินิก 45 แห่ง พบคลินิกเบิกค่าบริการเกินจริง 18 แห่ง คลินิกทันตกรรม 2 แห่ง และคลินิกแล็บ (ไม่ได้อยู่ในระบบบัตรทอง) 2 แห่ง ต่อมาได้ขยายผลตรวจสอบเพิ่มเติมคลินิก 86 แห่ง พบคลินิกเบิกจ่ายค่าบริการเกินจริง 66 แห่ง มีพฤติการณ์เหมือนคลินิก 18 แห่ง แต่จำนวนการเบิกจ่ายน้อยกว่า ในจำนวนนี้เป็นคลินิกเอกชน 53 แห่ง ทันตกรรม 3 แห่ง และโรงพยาบาล 10 แห่ง และขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบอีก 107 แห่ง
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนผู้มีสิทธิ มีกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องประสานอย่างเร่งด่วนใน 4 กลุ่ม คือ
กลุ่ม 1 ผู้ป่วยที่เข้ารับบริการในคลินิกชุมชนอบอุ่น และผู้ป่วยที่รับบริการในโรงพยาบาลส่งต่อ ซึ่งในจำนวนนี้มีส่วนหนึ่งมีคิวรอผ่าตัดล่วงหน้า โดย สปสช. เขต 13 กทม. ได้ขอรายชื่อและประสานส่งต่อโรงพยาบาลในระบบเพื่อให้การรักษาต่อเนื่องแล้ว
กลุ่ม 2 เป็นกลุ่มที่ยังรักษาตัวเป็นคนไข้ในโรงพยาบาล
กลุ่มที่ 3 หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 32 เดือน ใกล้คลอดแล้ว
กลุ่มที่ 4 คนไข้ฟอกไตต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมด สปสช.ได้เร่งดำเนินการและประสานหน่วยบริการรองรับแล้ว
ในส่วนของผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ เบาหวาน ความดัน เป็นต้น สปสช. เขต 13 กทม. อยู่ระหว่างการประสานหาหน่วยบริการใหม่ให้เช่นกัน รวมถึงประชาชนผู้มีสิทธิที่ขึ้นทะเบียนยังหน่วยบริการดังกล่าว สำหรับกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินรวมถึงอุบัติเหตุ ประชาชนยังสามารถใช้สิทธิเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต หรือ UCEP ได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนผู้ป่วยที่มีมาก อาจมีบางส่วนอาจยังไม่ได้รับการติดต่อและประสานเพื่อแก้ไขปัญหา ขอให้ติดต่อมาที่สายด่วน สปสช. 1330 ได้ ซึ่งขณะนี้ สปสช. ได้เตรียมคู่สายรองรับ 60 คู่สายแล้ว แต่ด้วยจำนวนประชาชนขณะนี้ที่โทรเข้ามามาก ทำให้อาจยังติดต่อไม่ได้ ซึ่ง สปสช. ยังมีช่องทางติดต่ออื่น โดยสามารถส่งข้อความผ่าน Facebook สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือผ่านทางไลน์ โดย สปสช. ได้เปิดไลน์ใหม่เฉพาะ ID LINE : 1330_2 ขอให้ส่งข้อมูล ชื่อ เลขที่บัตรประชาชน ปัญหาที่ได้รับผลกระทบ และเบอร์ติดต่อกลับ โดยทางเจ้าหน้าที่ 1330 จะโทรกลับไปเพื่อประสานในการแก้ไขปัญหาต่อไป
รองนายกฯ – รมว.สธ. ส่งจนท.สธ. แจกหน้ากากให้ผู้ชุมนุมพรุ่งนี้
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ทำแผนการป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ในกลุ่มผู้ชุมนุม วันที่ 19 ก.ย.นี้ มีการคาดการณ์กันว่าจะมีผู้ชุมนุมจำนวนมากหลายหมื่นคน กระทรวงสาธารณสุขจึงจะนำหน้ากากอนามัยไปให้ผู้ชุมนุมทุกคนได้สวมใส่ และนำเจลแอลกอฮอล์ไปให้ใช้บริการล้างมือบ่อยๆ เพื่อที่จะป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งนอกจากโควิด-19 ยังช่วยป้องกันโรคทางเดินหายใจ และโรคติดต่ออื่นๆ จากการสัมผัส และหายใจ ไอ จาม ใส่กันในระยะใกล้ๆ ได้อีกด้วย
นอกจากจัดเจ้าหน้าที่ไปแจกหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ให้แก่ผู้ชุมนุมแล้ว ได้สั่งการให้เตรียมความพร้อมของสถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้การบริการผู้ชุมนุมที่มีอาการเจ็บป่วยได้ตลอดเวลา เนื่องจากในการชุมนุมที่มีประชาชนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมากเป็นเวลานาน อาจจะมีผู้มีอาการเจ็บป่วยได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่อยากจะขอร้องผู้จัดการชุมนุม คือ ช่วยประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ติดตามการชุมนุมอยู่ที่บ้าน หรือที่พัก เพื่อป้องกันโรคติดต่อภายในกลุ่มผู้ชุมนุม
ผลตรวจผู้ใกล้ชิด แม่ลูกเมียนมา อ้างติดเชื้อโควิด-19 หลังเดินทางจากไทยไม่พบติดเชื้อ
หลังจากประเทศเมียนมาประกาศเคอร์ฟิวเมือง“เมียวดี” โดยอ้างพบแม่ลูกเดินทางกลับจากไทยติดเชื้อโควิด-19 พบมีผู้สัมผัสใกล้ชิดจำนวน 16 คน เป็นคนงานต่างด้าว 8 คน คนไทย 8 คน ได้ทำการตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 จำนวน 14 คน และตามตัวมาตรวจเชื้ออีก 2 คนนั้น ล่าสุด ผลการตรวจทุกคนเป็นลบทั้งหมดไม่พบเชื้อ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดได้สั่งการเพิ่มเติมให้ทางสาธารณสุขจังหวัดขยายการตรวจหาเชื้อจากชั้นใกล้เคียงออกไปอีก เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะไม่มีเชื้อในกลุ่มใกล้เคียง
สธ.เตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศพักระยะยาว
การเตรียมความพร้อม SQ/ASQ และ AHQ เพื่อรองรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศมาพักระยะยาว 270 วัน (9เดือน) นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผอ.กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมควบคุมโรค ยืนยันมาตรการของ ศบค.ในการให้บุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทยเข้ามาในราชอาณาจักรได้นั้น มีการคัดกรองและป้องกันเป็นอย่างดี โดยกลุ่มผู้เดินทางนี้จะมาเป็นแบบโควตาใช้ระยะเวลาอยู่ไทยยาวนาน ขั้นตอนก่อนเข้าประเทศต้องมีการตรวจโรคหาเชื้อโควิด-19 ในรอบ 72 ชั่วโมง และไม่เคยไปอยู่ในพื้นที่ชุมชนแออัด ต้องมีบัตรประกันสุขภาพไม่ต่ำกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับประเทศไทยในอนาคตหากป่วยหรือติดเชื้อโควิด-19 เมื่อมาถึงไทยยังต้องถูกกักตัวใน State Quarantine 14 วัน และมีการตรวจโรค 2 ครั้ง รอบที่ 1 ภายใน 3-5 วัน และรอบที่ 2 ภายใน 10-14 วัน แต่ยังต้องขอความชัดเจนว่า การอยู่ไทย 270 วัน นับรวม 14 วันด้วยหรือไม่ และเมื่ออยู่ไทยต้องปฏิบัติตัว ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ชุมชน ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทท่องเที่ยว,ที่พักโรงแรม ที่มีการนำนักท่องเที่ยวเข้าไทย ต้องผ่านการอบรมและตรวจประเมิน ส่วนที่ Local Quarantine และ Alternative State Quarantine พื้นที่ชุมชน โดยกระทรวงมหาดไทย และ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งประเทศไทย ต้องเร่งให้ความรู้เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับผู้เดินทาง
หุ้นไทย ปิดตลาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หลังเทขายทำกำไร รอดูปัจจัยม็อบสุดสัปดาห์นี้
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดตลาดวันนี้ที่ระดับ 1,288.39 จุด เพิ่มขึ้น 3.99 จุด มูลค่าการซื้อขาย 49,975.26 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่ายนี้มีแรงเทขายลดความเสี่ยง หลังจากที่ช่วงเช้าปรับตัวขึ้น และในช่วงสุดสัปดาห์นี้ก็ลุ้นการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น สัปดาห์หน้าตลาดอาจจะขยับขึ้นได้บ้าง
ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียวปิดปรับตัวขึ้นเล็กน้อย หลังนักลงทุนกลับเข้าช้อนซื้อหุ้นคืน ก่อนที่ตลาดจะปิดทำการต่อเนื่องนาน 4 วันในช่วงสุดสัปดาห์นี้ไปจนถึงวันอังคารหน้า ปิดที่ระดับ 23,360.30 จุด เพิ่มขึ้น 40.93 จุด
ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดวันนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นหลังตลาดร่วงหนักเมื่อวานนี้ อันเป็นผลมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ดัชนีฮั่งเส็งปิดวันนี้ที่ 24,455.41 จุด เพิ่มขึ้น 114.56 จุด
ออสเตรเลีย ย้ำ ดำเนินคดีตามกฎหมาย หลังนัดชุมนุมต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์
ตำรวจออสเตรเลียในรัฐวิกตอเรียประกาศแผนพร้อมรับมือกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านการล็อกดาวน์ช่วงสุดสัปดาห์นี้ โดยระบุว่าจะไม่ทนต่อการฝ่าฝืนมาตรการล็อกดาวน์อย่างเด็ดขาด โฆษกตำรวจรัฐวิกตอเรียให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวในวันนี้ว่า การชุมนุมในที่สาธารณะภายใต้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อคุมโควิด-19 ถือเป็นความผิดทางอาญา วันนี้ รัฐวิกตอเรียรายงานว่ามีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มอีก 45 คน และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 5 ราย ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบสอง
ศาลปกครองยกฟ้อง ถวิล พึ่งมา ฟ้องสจล. กรณีถูกไล่ออกเพราะสั่งแก้เกรดให้ลูกชาย
ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่นายถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือ สจล. ยื่นฟ้องสจล.กับพวกรวม 6 คน กรณีขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่ง สจล.ที่ปลดตนเองออกจากการเป็นพนักงาน สจล. และให้คืนสิทธิการดำรงตำแหน่งอธิการบดีหรือตำแหน่งเทียบเท่า รวมทั้งคืนสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับราชการให้แก่ตน จากเหตุขณะดำรงตำแหน่งอธิการบดี สจล.ได้ให้อาจารย์ผู้สอนและผู้เกี่ยวข้องแก้ไขคะแนนผลการสอบและเกรดของนายถิรกรณ์ พึ่งมา บุตรชาย จากเดิมที่ได้เกรด F เปลี่ยนเป็นเกรด C ซึ่งนายถวิลได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว แต่คณะกรรมการอุทธรณ์และร้องทุกข์ สจล.มีมติลงวันที่ 23 มีนาคม 2559 ให้ยกอุทธรณ์ของนายถวิล
เหตุผลที่ศาลปกครองกลางยกฟ้อง ระบุว่าในชั้นสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง ที่ สจล.มีคำสั่งตั้งขึ้น นายถวิลให้ถ้อยคำ ว่าได้มีการโทรศัพท์ไปหาอาจารย์ที่สอนหนังสือ 3 รายวิชาแก่บุตรชาย ซึ่งอาจารย์ที่สอน 3 รายวิชาดังกล่าวก็ให้การยืนยันในชั้นสอบหาข้อเท็จจริง ว่าก่อนสั่งพิมพ์รายงานคะแนนฉบับสมบูรณ์ นายถวิลครั้งยังดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้โทรศัพท์มาหา เพื่อให้ช่วยดูคะแนนให้บุตรชาย และอาจารย์ที่สอนทั้ง 3 รายวิชาก็ได้มีการเพิ่มคะแนน ให้กับบุตรชายของนายถวิล จนทำให้จากคะแนนเดิมที่อยู่ในเกณฑ์ได้คะแนน F ปรับขึ้นมาได้รับเกรด C
พฤติการณ์การกระทำของนายถวิล ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแก้ไขเกรดบุตรชายใน 3 รายวิชา จึงเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงตามข้อ 6 วรรคสอง และข้อ 15 ของข้อบังคับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ว่าด้วยวินัยหลักเกณฑ์วิธีการเงื่อนไขการสอบสวนพิจารณาและการสั่งลงโทษทางวินัย2552 แต่เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อ 18 ( 1 ) ของข้อบังคับฉบับเดียวกัน
ดังนั้นการที่อธิการบดี สจล. ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ลงโทษปลดนายถวิลออกจากการเป็นพนักงานสถาบันตามคำสั่ง สจล.ลับที่ 1856/2558 ลงวันที่ 5 พฤษจิกายน 2558 จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ส่วนที่คณะกรรมการอุทธรณ์และร้องทุกข์ สจล. มีมติยกอุทธรณ์ของนายถวิล เห็นว่าการพิจารณาอุทธรณ์ของคณะกรรมการอุทธรณ์ได้อาศัยข้อเท็จจริงข้อกฎหมาย เช่นเดียวกับอธิการบดีสจล. เมื่อคำสั่งของอธิการบดี สจล.ที่สั่งลงโทษ ปลดนายถวิลออกจากการเป็นพนักงานสถาบันชอบแล้ว การที่คณะกรรมการอุทธรณ์มีมติยกอุทธรณ์ จึงชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน