นายกฯ ขอทุกคนยกการ์ดให้สูงขึ้น โลกเผชิญโควิด-19 รุนแรงมากขึ้น
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แถลงการณ์ผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เมื่อช่วงเย็นวานนี้ชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์โควิด-19 กับการชุมนุมว่าขอพักเรื่องการเมืองก่อนเพราะสถานการณ์ในโลกยังน่าห่วงและในส่วนของไทยที่ควบคุมได้เพราะตัดสินใจใช้มาตรการต่างๆเร็วและการช่วยเหลือกันของทุกฝ่ายตั้งแต่แพทย์ทุกคน อาสาสมัครสาธารณสุข พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่บุคลากรด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทุกคน รวมถึงภาครัฐทุกหน่วยงาน และที่สำคัญคือคนไทยทั้งประเทศ ร่วมแรงร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียวยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ และเว้นระยะห่างทางสังคม
นายกฯ กล่าวว่า ปัจจุบันเมื่อโควิด-19 กำลังกลับมาระบาดใหญ่อีกครั้ง ขอให้ทุกคนลุกขึ้นมาตั้งการ์ดของตัวเองให้สูงขึ้นอีกครั้งเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น รักษาวินัยที่ดีอย่างที่เคยทำกันมาเพราะสงครามกับโควิด-19 จะยังอยู่ไปอีกนาน จะเห็นได้ว่า การกลับมาระบาดรอบ 2 ในหลายประเทศรุนแรงกว่าการระบาดรอบแรก
CR:รัฐบาลไทย
ไตรมาสแรก ปีหน้าศก.ไทย ฟื้นตัวเป็นบวก ส่วน 2 มาตรการทำให้มีเม็ดเงิน 150,000-200,000 ล้าน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ภาคเอกชนมองว่าเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ เช่น การท่องเที่ยวและการที่รัฐอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ทำให้เอกชนประคองการจ้างงานไปจนถึงไตรมาสที่ 1 ปีหน้า เพราะคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น
ส่วนโครงการ “คนละครึ่ง” วงเงิน 30,000 ล้านบาท ที่รัฐบาลจะแจกเงินให้ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ 15 ล้านคน คนละ 3,000 บาท เป็นการโอนเงินให้กับประชาชนเพื่อลดค่าครองชีพนำไปซื้อของใช้ประจำวัน จะทำให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 60,000 ล้านบาท ใน 3 เดือน และหากเศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียนได้อีก 2-3 รอบ จะสร้างเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ 120,000-200,000 ล้านบาท ขณะที่ มาตรการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่ม 500 บาท นาน 3 เดือน จะทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ 1-2 รอบ เป็นเงินรวม 20,000-50,000 ล้านบาท เมื่อรวมเม็ดเงินที่กระตุ้นเศรษฐกิจใน 2 มาตรการแล้ว จะมีเม็ดเงินรวม 150,000-200,000 ล้านบาท ช่วยทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 4 ติดลบน้อยลงร้อยละ 2-3 และจะค่อยๆฟื้นตัวเป็นบวกได้ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปีหน้า มาอยู่ที่ร้อยละ 0-2 และหากมีการนำมาตรการชิม ช้อป ใช้ จะยิ่งทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
บอร์ด อคส.ยกเลิกสัญญาซื้อถุงมือยาง ร้องดีเอสไอ -ปปง.สอบเส้นทางการเงิน
กรณีที่นายกฯสั่งย้าย พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง องค์การคลังสินค้า(อคส.) มาปฏิบัติหน้าที่ในกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษในสำนักนายกรัฐมนตรี หลังจากมีผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนถึงนายกฯว่ามีผู้นำเงินของ อคส.หลายพันล้านบาทไปลงทุนในธุรกิจถุงมือยาง ช่วงที่ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ ทำหน้าที่รักษาการแทนผู้อำนวยการ อคส. จนอาจเข้าข่ายพัวพันการทุจริต
ล่าสุด คณะกรรมการ (บอร์ด) อคส.ได้เรียกประชุมพิจารณาเรื่องดังกล่าวเป็นการเร่งด่วน และมีมติให้ระงับการจัดซื้อถุงมือยางและยกเลิกสัญญา เนื่องจาก รักษาการผู้อำนวยการ อคส.อนุมัติงบประมาณถึง 2,000 ล้านบาท โดยไม่ผ่านการพิจารณาของบอร์ด ทั้งที่จริงจะมีอำนาจอนุมัติไม่เกิน 25 ล้านบาทเท่านั้น พร้อมกันนั้น ยังเห็นชอบให้อำนาจผู้อำนวยการ อคส.คนปัจจุบัน แจ้งความต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ให้อายัดเงินในบัญชีที่อคส.ได้โอนให้กับบริษัทผู้ผลิตถุงมือยาง และให้ตรวจสอบเส้นทางของเงินด้วย
ทั้งนี้ ถือว่าการดำเนินการของ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ เป็นการกระทำการลุแก่อำนาจโดยพลการ ไม่ผ่านที่ประชุมบอร์ด และไม่รายงานให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ รับทราบด้วย นอกจากนี้ ยังสั่งการให้ผู้อำนวยการ อคส.แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงด้วย ซึ่งได้แต่งตั้งแล้วเมื่อวันที่ 15 ก.ย.
พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ ชี้แจงไม่ได้ทุจริตซื้อถุงมือยาง ทำหนังสือเวียนแล้ว
ด้าน พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ ชี้แจงว่า ได้รับทราบคำสั่งนายกฯแล้ว แต่ยังไม่ได้ไปรายงานตัวเพราะต้องรอหนังสือส่งมาถึงตนอย่างเป็นทางการ แต่ขอชี้แจงว่า กรณีที่เกิดขึ้นตนดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ คือ พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การคลังสินค้าพ.ศ.2498 มาตรา 26 วรรคแรก โดยไม่ได้มีการทุจริต และเป็นความตั้งใจที่จะล้างขาดทุนสะสมของอคส.ในช่วง 5 ปีติดต่อกัน ที่มีกว่า 11,000 ล้านบาทให้หมด ทั้งนี้ที่มาของการจัดซื้อถุงมือยาง เกิดขึ้นหลังจากมีผู้ส่งออกสอบถาม อคส.ว่าต้องการหาซื้อถุงมือยางส่งออกไปสหรัฐฯ และยุโรปถึง 500 ล้านกล่อง ๆ ละ 230 บาท เห็นว่าเป็นโอกาสที่อคส.จะซื้อขายทำกำไรได้ จึงติดต่อผู้ผลิตไปหลายแห่งแต่ในที่สุดได้สั่งซื้อจากบริษัทการ์เดียน โกลฟส์ จำกัด เพราะให้มัดจำแค่ร้อยละ 2 น้อยกว่าบริษัทอื่นที่ให้มัดจำร้อยละ 50 โดยตกลงทำสัญญาเมื่อวันที่ 27 ส.ค. จำนวน 500 ล้านกล่องๆ ละ 225 บาท รวม 112,500 ล้านบาท โดยให้อคส.ชำระเงินล่วงหน้า 2,000 ล้านบาท และมีระยะเวลาส่งมอบใน 2 ปี
ส่วนสาเหตุที่ไม่ผ่านการพิจารณาของบอร์ด อคส.เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน จึงได้ออกหนังสือเวียนขอมติแทน และยังได้จัดทำร่างสัญญาซื้อขายอย่างถูกต้อง พร้อมกับแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจรับสินค้า การจ่ายสินค้าให้กับผู้ซื้อ และจัดทำรายงานการรับจ่ายสินค้าเพื่อให้มีการบันทึกบัญชีซื้อขายอย่างถูกต้องด้วย
ผู้ต้องขัง ที่ปลอมตัวเป็นจนท.หนีจากเรือนจำเพชรบูรณ์ ยอมรับว่าไม่อยากติดคุก-คิดถึงบ้าน
พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยเหตุการณ์ช่วงเช้าวานนี้ที่นายวุฒิชัย เตชสิทธิ์ธนวัฒน์ อายุ 38 ปี ผู้ต้องขังหลบหนีจากเรือนจำจังหวัดเพชรบูรณ์ ด้วยการสวมใส่เครื่องแบบปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ เดินออกจากหน้าประตูเรือนจำขึ้นรถจักรยานยนต์ฮอนด้า PCX สีดำ หลบหนีไปทาง ต.นายม อ.เมืองว่านายวุฒิชัย เป็นผู้ต้องขังอยู่ระหว่างพิจารณาคดีของศาล ความผิดฐานลักทรัพย์ รับของโจรและบุกรุก รวม 6 คดี ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่รับแจ้งว่าหลบหนีช่วงเช้าได้ระดมกำลังกันค้นหาทำให้ช่วงบ่ายจับกุมนายวุฒิชัยได้ โดยเป็นการระดมกำลังกันของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ในพื้นที่เขต 6 ร่วมกับทีมกองกำกับสืบสวนหล่มสัก สภ.เมืองเพชรบูรณ์ สภ.หล่มสัก ฝ่ายปกครอง และผู้กำกับการจังหวัดเพชรบูรณ์
เจ้าหน้าที่จับกุมนายวุฒิชัย ขณะหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านร้างข้างถนนในพื้นที่บ้านซับสมบูรณ์ หมู่ 8 ต.ชอนไพร อ.เมืองเพชรบูรณ์ ห่างจากเรือนจำเพชรบูรณ์เพียงแค่ 4-5 กม.พร้อมรถจักรยานยนต์ฮอนด้า PCX สีดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ที่ใช้ในการหลบหนี ถูกจอดซุกไว้ในป่าข้าวโพดข้างบ้านหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงนำตัวไปสอบสวน
จากการสอบสวน นายวุฒิชัย สารภาพว่า สาเหตุที่หลบหนีออกจากเรือนจำเพราะไม่อยากติดคุก จึงคอยดูผู้คุมรายหนึ่งที่เผลอขณะเปลี่ยนเครื่องแบบ จึงแอบเข้าไปขโมยในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วสวมใส่เดินออกมาทำทีเป็นเจ้าหน้าที่โดยไม่มีใครสงสัย ก่อนจะเดินมาเรื่อยๆ จนถึงบ้านพักซึ่งอยู่ห่างเรือนจำราว 2 กม. แล้วเข้าไปในบ้านนำรถจักรยานยนต์ขับหลบหนี ตอนแรกตั้งใจจะมุ่งหน้าหนีไปหล่มสัก แต่กลัวตำรวจตั้งด่าน เลยเปลี่ยนใจขับรถมาจอดซุกในป่าข้าวโพดและซ่อนตัวในบ้านร้างริมถนนจนมาถูกจับตัวได้ดังกล่าว ในทางคดีตนเองก่อเหตุลักทรัพย์และรับของโจรมาแล้ว 6 ครั้งต่อเนื่องกัน ส่วนคดีอุกฉกรรจ์อื่นๆ ไม่เคยกระทำ ยอมรับว่าทางบ้านก็พอมีฐานะ ไม่ได้เดือดร้อน แต่เพราะความอยากได้พระเครื่อง จึงได้ลงมือก่อเหตุมีเพื่อนร่วมด้วย 1 คน ส่วนสาเหตุจูงใจในการหลบหนีจากเรือนจำ เพราะไม่อยากติดคุกและคิดถึงบ้าน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้นำตัวไปดำเนินคดีต่อไป