การรับมือกับพายุโนอึล นายสำเริง แสงภู่วงค์ รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะเลขานุการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้หน่วยงานเกี่ยวข้องภายใต้กองอำนวยการน้ำแห่งชาติได้ประเมินสถานการณ์และวางมาตรการเชิงป้องกันไว้แล้วทั้งบุคลากร เครื่องจักรเครื่องมือ การบริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ ที่คาดว่าพายุจะเคลื่อนผ่าน ซึ่งนอกจากการป้องกันในเชิงผลกระทบที่อาจจะเกิดน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขังแล้ว ยังมีการวิเคราะห์ ประเมินปริมาณน้ำเก็บกักในเขื่อนต่าง ๆ ซึ่งในส่วนของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ไม่มีแหล่งน้ำใดที่น่าเป็นห่วงสามารถรองรับปริมาณฝนได้อีกมาก เนื่องจากโดยเฉลี่ยแล้วมีปริมาณน้ำประมาณร้อยละ 50 จึงเน้นย้ำทุกหน่วยงานที่รับผิดชอบอ่างเก็บน้ำพิจารณาปรับแผนการระบายน้ำเพื่อให้ลำน้ำและระบบชลประทานสามารถรองรับน้ำหลากได้เต็มศักยภาพ ขณะที่อ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีปริมาณน้ำมากกว่า ร้อยละ 80 จะต้องบริหารจัดการน้ำในอ่างฯให้เหมาะสมกับปริมาณฝนคาดการณ์เช่นเดียวกัน
ส่วนพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันใน 24 จังหวัด 94 อำเภอ 194 ตำบล แบ่งเป็น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 15 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ มหาสารคาม ยโสธร ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ สกลนคร สุรินทร์ หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ อุดรธานี และอุบลราชธานี และภาคเหนือ 9 จังหวัด ได้แก่ เพชรบูรณ์ แพร่ นครสวรรค์ น่าน พะเยา พิจิตร พิษณุโลก ลำปาง และอุตรดิตถ์
นอกจากนั้น ยังได้ทำหนังสือถึง 4 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติทั้ง 4 ภาคเป็นหน่วยงานกลางในการประสานแจ้งจังหวัดที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบ เพื่อเตรียมการความพร้อมในการรับมือสถานการณ์ล่วงหน้า รวมถึงแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงให้รับทราบล่วงหน้าด้วย
โดยกรมชลประทาน เตรียมบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ โดยจัดเตรียมเครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ และเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ติดตาม ตรวจสอบสภาพความปลอดภัยเขื่อน อ่างเก็บน้ำ อาคารชลประทาน ให้พร้อมใช้งานและกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ รวมถึงพร่องน้ำจากเขื่อนชนบท จ.ขอนแก่น เขื่อนมหาสารคาม จ.มหาสารคาม เขื่อนวังยาง จ.กาฬสินธุ์ และเขื่อนร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด และบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ควบคุม ควบคู่การเก็บกักน้ำให้ได้มากที่สุด โดยไม่ให้กระทบต่อด้านท้ายอ่างฯ
รวมถึงสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) ร่วมกับมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และกองทัพภาคที่ 2 ได้ร่วมกันหารือในการสนับสนุนการเตรียมการเฝ้าระวังให้ความช่วยเหลือป้องกันผลกระทบ โดยตั้งศูนย์ประสานงานให้ความช่วยเหลือประชาชนล่วงหน้าที่ จ.ร้อยเอ็ด
ด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประสานแจ้งจังหวัดและศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตในพื้นที่เสี่ยงได้บูรณาการหน่วยงาน เครือข่าย จิตอาสา ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เตรียมพร้อมทรัพยากรเครื่องจักรเครื่องมือด้านรับมือสาธารณภัย แผนเผชิญเหตุ รวมทั้งเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติงาน อำนวยความสะดวก และช่วยเหลือประชาชน โดยในวันพรุ่งนี้ (18 ก.ย.63) คณะทำงานด้านอำนวยการน้ำ ซึ่งมี ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ เป็นประธาน ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประเมินสถานการณ์แนวโน้มพายุอีกครั้ง ซึ่งอาจจะต้องมีการทบทวนมาตรการในการรับมืออย่างใกล้ชิดต่อไป