ออกแฟม ที่เป็นการรวมตัวกันขององค์กรการกุศลอิสระ 20 แห่ง เปิดเผยรายงานที่ระบุว่า ประเทศที่ร่ำรวยซึ่งเป็นตัวแทนเพียงร้อยละ 13 ของประชากรโลกมีการสั่งจองวัคซีนต้านโควิด-19 ไว้มากกว่าครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 51) ของปริมาณที่ผู้พัฒนาวัคซีนทำสัญญา
รายงานของออกแฟมยังมีขึ้นในขณะที่รัฐมนตรีสาธารณสุขและการเงินของกลุ่มประเทศ G20 มีการประชุมเกี่ยวกับสถานการณ์ของโรคระบาดทั่วโลก ซึ่งออกแฟม ระบุว่า จากการวิเคราะห์ข้อตกลงที่บริษัทยาและผู้ผลิตวัคซีนได้ทำร่วมกับประเทศต่างๆทั่วโลก พบว่ามีผู้ผลิต 5 รายที่อยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 และจากการสั่งจองของประเทศร่ำรวย จะหมายความว่าประชากรโลกร้อยละ 61 จะต้องรอวัคซีนไปจนถึงปี 2565 เป็นอย่างน้อย และหากการทดลองของบางรายล้มเหลวก็จะทำให้คนที่ไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนมีจำนวนมากขึ้น
นางแอนนา มาริออต ที่ปรึกษาด้านนโยบายสุขภาพของออกแฟม กล่าวว่า ตัวเลขเหล่านี้เผยให้เห็นว่าการผูกขาดยาได้รับการคุ้มครอง โดยมีค่าใช้จ่ายคือสุขภาพของผู้คนจำนวนมากและเศรษฐกิจโลก ประเทศร่ำรวย เช่น สหราชอาณาจักรมีความกังวลว่าจะได้รับวัคซีนไม่เพียงพอและพยายามทำสัญญากับผู้ผลิตเพื่อสะสมวัคซีนจำนวนมาก ซึ่งเป็นการท้าทายการผูกขาดข้อตกลงเหล่านี้ยังทำให้ประเทศที่ยากจนกว่าหลายประเทศตกอยู่ในความเสี่ยง นอกจากนี้ ผู้ผลิตยาในประเทศอื่น ๆ จะไม่สามารถผลิตวัคซีนได้เองเว้นแต่บริษัทผู้วิจัยจะแบ่งปันความรู้โดยปราศจากสิทธิบัตร ออกแฟมจึงเรียกร้องให้มีวัคซีนสำหรับประชาชนไม่ใช่วัคซีนเพื่อผลกำไร
....