สมาคมทนายความ เรียกร้องอัยการและตำรวจชี้แจงกรณีสั่งไม่ฟ้อง 'บอส อยู่วิทยา'

26 กรกฎาคม 2563, 11:40น.


          เว็บเพจสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย เผยแพร่ข้อเรียกร้องของนายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ที่ได้ตั้งข้อสังเกตกรณีที่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ เสียชีวิตในปี 2555 ทำให้มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมแห่งคดีและข้อพิรุธ ทั้งการหลบหนี และการทำคดีที่ล่าช้า มีการประวิงคดีขอเลื่อนนัดมากกว่า 5 ครั้งแต่ตำรวจก็เพิกเฉยไม่ได้เร่งรัดติดตาม จนทำให้คดีขาดอายุความหลายข้อหา จนถึงที่มาของคำสั่งไม่ฟ้องและตำรวจไม่คัดค้าน ที่สำคัญคือการรับทราบข่าวในเรื่องนี้เกิดจากสื่อมวลชนต่างประเทศนำมาเผยแพร่เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม  ซึ่งนายกสมาคมทนายความฯ ได้เรียกร้องให้อัยการและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยรายละเอียดของคดี  และชี้แจงเหตุผลที่สั่งไม่ฟ้อง   


          โดยระบุว่า 


          "สืบเนื่องกรณีความเห็นของ อัยการสูงสุด ที่สั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ในข้อหา ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ ดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต  เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 นั้น ได้สร้างความสงสัยกับประชาชนทั้งประเทศ และมีการตั้งคำถามมากมายในคดีนี้ 


          ข้อเท็จจริงในคดีนี้  มีความเป็นมา  ตั้งแต่วันเกิดเหตุ  ว่า นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ได้ขับรถยนต์เฟอร์รารี่  ทะเบียน ญญ 1111 กรุงเทพมหานคร ชนดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ ที่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 49 แต่ไม่หยุดรถแล้วทำให้รถยนต์ลากร่างดาบวิเชียรไปจากจุดชนถึงประมาณ 200 เมตรจนถึงแก่ความตาย 


          หลังเกิดเหตุ นายวรยุทธ ได้หลบหนี ตำรวจติดตามไปยังบ้านพักและได้รับทราบว่า พ่อบ้านของครอบครัวนายวรยุทธ รับสมอ้างว่า เป็นคนขับรถคันดังกล่าว แต่ตำรวจไม่เชื่อ จนจับได้ว่า อาจมีการเปลี่ยนตัวผู้ขับรถยนต์คันนี้ ต่อมา พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนคดีนี้ แต่การสอบสวนเป็นไปอย่างล่าช้า และถูกกระแสสังคมกดดันอย่างต่อเนื่อง  จนในที่สุด  พนักงานสอบสวน สน. ทองหล่อ ซึ่งได้แจ้งข้อหานายวรยุทธ ฯ ผู้ต้องหารวม 4 ข้อหา คือ   


     (1) ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด  


     (2) เกิดอุบัติเหตุแล้วไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือ  


     (3) ขับรถในขณะมึนเมา  


     (4) ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  


          โดยความผิดตาม (1)-(2) มีอายุความ 1 ปี 


          ส่วนความผิดตาม (3) มีอายุความ 5 ปี ซึ่งข้อหาทั้ง 3 ข้อหาได้ขาดอายุความไปแล้วตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2560 


          คงเหลือ ข้อหา ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย( ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท )  อายุความ 15 ปี  ซึ่งจะขาดอายุความ ในวันที่ 3 กันยายน 2570 


          ระหว่างการสอบสวน   ก่อนตำรวจส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการนั้น นายวรยุทธ ได้หลบหนีออกนอกประเทศตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ นานถึง 8 ปี หลังจากผู้ต้องหาหลบหนีไปแล้ว มีข่าวคราวของผู้ต้องหาไปปรากฏตัวในต่างประเทศหลายประเทศ  จนทำให้ประชาชนทั่วไปที่ติดตามข่าวนี้ ได้มีการแสดงความคิดเห็นและไม่พอใจ การทำหน้าที่ของตำรวจ และมีคำถามกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจตลอดจนถึงพนักงานอัยการที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องคดีนี้ ให้ทำการติดตามจับกุมเพื่อนำผู้ต้องหามาฟ้องศาล แต่ไม่สามารถติดตามตัวมาดำเนินคดีในประเทศไทยได้ จนข่าวคราวเรื่องนี้ค่อยๆเงียบหายไปจากความสนใจขอประชาชน 


          แต่ต่อมา  วันที่ 23  กรกฎาคม  2563  ปรากฏข่าวจากสื่อจากต่างประเทศ ว่าคดีอาญาเรื่องนี้  ตำรวจได้มีการเพิกถอนหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้  โดย อัยการสูงสุด มีความเห็น สั่งไม่ฟ้องคดีนี้ตั้งแต่  เมื่อวันที่ 18  มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมาแล้ว โดยข่าวนี้ คนไทยในประเทศไม่เคยทราบและรับรู้มาก่อน  สร้างความงุนงงและความสงสัยเคลือบแคลงให้กับคนไทยทั้งประเทศ ในการทำหน้าที่ของตำรวจและอัยการ เกี่ยวกับคดีนี้ 


          สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ขอเรียนว่า  แม้อัยการจะมีอำนาจตามกฎหมายในการสั่งไม่ฟ้องในเรื่องนี้ แต่เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจและติดตามความคืบหน้ามาโดยตลอด จึงอยากตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมแห่งคดีและข้อพิรุธต่างๆเกี่ยวกับคดี ดังนี้


     1. (ทำไมชนแล้วหนี) ภายหลังเกิดเหตุผู้ต้องหาได้ขับหนีทันทีโดยไม่ได้ลงมาช่วยเหลือหรือดูแลคนตายแต่อย่างใด ซึ่งหากความผิดเกิดจากการกระทำของคนตาย ก็ไม่มีเหตุอะไรที่จะต้องขับหนีในทันที


     2. (เมาแล้วขับ) ผู้ต้องหาอยู่ในอาการมึนเมาสุราเพราะมีข้อหาเมาแล้วขับ


     3. (พยายามหนีความผิด) มีการพยายามเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาโดยให้คนใช้มาอ้างว่าเป็นคนขับ แต่ไม่สำเร็จ


     4. (คดีไม่มีข้อยุ่งยาก ไม่ซับซ้อน) สำนวนเดิมที่อัยการสั่งฟ้อง บนพื้นฐานของพยานหลักฐาน ทั้งพยานบุคคลและพยานทางวิทยาศาสตร์อย่างครบถ้วน เพียงพอในการฟ้องคดีต่อศาล 


     5. (คดีล่าช้า) การดำเนินการสอบสวนล่าช้า ประวิงคดี สังเกตได้จาก ผู้ต้องหาขอเลื่อนนัดมากกว่า 5 ครั้ง อ้างว่าอยู่ต่างประเทศ  แต่ตำรวจก็เพิกเฉยไม่ได้เร่งรัดติดตาม จนทำให้คดีขาดอายุความหลายข้อหา


     6. (ที่มาของคำสั่งไม่ฟ้อง) กระบวนการช่วยเหลือและต่อสู้ในเรื่องการขอความเป็นธรรมให้ผู้ต้องหา จนนำไปสู่คำสั่งไม่ฟ้องของอัยการและตำรวจไม่คัดค้าน ทั้งๆที่ผู้ต้องหาได้หลบหนีตั้งแต่เหตุเกิดไม่ได้อยู่ในประเทศไทยถึง 8 ปี


     7. ไม่มีการชี้แจงถึงเหตุผล และรายละเอียดในการสั่งไม่ฟ้องคดี โดยกล่าวอ้างลอยๆ ว่าหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสามารถหักล้างจากสำนวนเดิมที่อัยการสั่งฟ้องไว้แล้วแต่อย่างใด


     8. เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2563 มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีแต่อัยการไม่ได้แถลงข่าวในเรื่องนี้ให้สื่อมวลชนได้รับทราบ แต่การรับทราบข่าวเรื่องนี้เกิดจากสื่อมวลชนต่างประเทศนำมาเผยแพร่เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563


          จากข้อสังเกตที่ตั้งไว้ในเบื้องต้นจะเห็นได้ว่า คำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการจะเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของประชาชนในการใช้อำนาจตามกฎหมาย ดังนั้นหากอัยการและสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะทำให้ประชาชนเชื่อว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งที่สุจริตทั้งสองหน่วยงานโดยเฉพาะสำนักงานอัยการสูงสุด จำเป็นต้องเปิดเผยรายละเอียดของคดีทั้งหมดว่ามีพยานหลักฐานครบถ้วนในการสั่งไม่ฟ้อง โดยสามารถหักล้างพยานหลักฐานในสำนวนเดิมที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องตั้งแต่เหตุเกิด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องชี้แจงเหตุผลว่าทำไมไม่คัดค้านคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการ เพราะหากไม่สามารถชี้แจงเรื่องดังกล่าวบนข้อเท็จจริงได้จะทำให้ประชาชน ขาดความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อสำนักงานอัยการสูงสุดรวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อันเป็นต้นทางของกระบวนการสอบสวนและฟ้องคดี


          สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย มีความห่วงใยในกรณีดังกล่าว โดยไม่อยากให้สังคมไทยได้เกิดความคิดและความเชื่อมั่นว่า คนรวยเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างแท้จริงมากกว่าคนจน"


....


https://www.facebook.com/lawyerassn/
ข่าวทั้งหมด

X