หลังประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงว่า การแก้ปัญหาโรคติดเชื้อโควิด-19 จะต้องสร้างความรู้ให้ประชาชน แม้ยังไม่เข้าระยะที่ 3 แต่ต้องเตรียมการรองรับ ส่วนเรื่องแรงงานผิดกฎหมายในเกาหลีใต้ หรือ ผีน้อยที่เดินทางกลับประเทศ ได้มีการควบคุมต้นทาง เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม และการคัดกรองในประเทศ โดยกรมการบินพลเรือน แจ้งทุกสายการบินให้แจ้งข้อมูลก่อนเข้าประเทศและขอข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ติดตามคนที่เข้ามาก่อนวันที่ 8 มีนาคม 2563 แต่เป็นเรื่องยากเพราะบางทีประชาชนไม่ปฏิบัติตามระเบียบ
ดังนั้น ขอความร่วมมือให้มีความรับผิดชอบต่อตัวเองและสังคม การที่รัฐบาลจะทำอะไร จะต้องขอความร่วมมือประชาชน และในพื้นที่แจ้งข้อมูลเข้าสู่ระบบการคัดกรอง ซึ่งมีกฎหมายอยู่แล้ว หากไม่ผ่านการคัดกรอง จะมีโทษปรับและจำคุก ส่วนที่หลายคนบอกว่า จะให้ปรับเป็นล้านบาท ก็คงทำไม่ได้ แต่หากแก้ไม่ได้ จะไปแก้กฎหมายให้มีโทษปรับรุนแรงขึ้น
โดยขณะนี้ได้เตรียมพื้นที่สำหรับกักตัวผู้ที่เดินทางกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง(จีน เกาหลีใต้ อิหร่าน และอิตาลี) ไว้ 200 แห่ง แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด ลักษณะเหมือนที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นสถานที่ปิด และไม่ให้บุคคลภายนอกเข้า-ออก วันนี้ สถานการณ์แพร่ระบาดของไทยยังอยู่ในวงจำกัด และอยู่ในลำดับที่ 25 จากกว่า 100 ประเทศ แสดงว่าการควบคุมของไทยมีคุณภาพ สิ่งสำคัญ คือ ความเชื่อมั่นไว้วางใจซึ่งกันและกัน หลายอย่างตนปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้อยู่แล้ว รวมถึง ส่วนงานราชการต่างๆ ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
ส่วนปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ให้มีการตรวจสอบแล้ว ภายใน 1 เดือน 11 โรงงาน จะผลิตได้ 38 ล้านชิ้น เฉลี่ยผลิตได้วันละ 1.2 ล้านชิ้น ส่งให้ทางการแพทย์ 700,000 ชิ้น อีก 500,000 ชิ้น จะจำหน่ายในตลาด ส่วนที่พบว่ามีการกักตุน ขายเกินราคา ให้เข้าไปตรวจสอบแล้ว 5 จุด รวมถึง ที่มีการเผยแพร่ในโซเซียลมีเดีย แต่ยังไม่มีการรายงานผลกลับมา
ส่วนการเปิดรับบริจาค กองทุนแก้ปัญหาโควิด-19 นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ไม่ใช่รัฐบาลไม่มีเงิน แต่เป็นข้อเสนอของคณะรัฐมนตรีหรือ ครม.ที่ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมบริจาค เหมือนกรณีเหตุการณ์โคราช ขออย่าเอาเรื่องหน้ากากอนามัยไม่พอมาโยงกับเรื่องเงินบริจาค ไม่ใช่แก้ตัว แต่ไม่เป็นธรรมกับตน ยืนยันเงินบริจาคน้ำท่วมยังอยู่และมีขั้นตอนสามารถตรวจสอบได้
สำหรับนโยบายแจกเงินคนละ 1,000 บาท ที่จะนำเข้าสู่การประชุม ครม.วันพรุ่งนี้ (10 มี.ค.) นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า จะไม่มีการเสนอจ่ายเงินชดเชยเยียวยาแล้ว โดยให้ชะลอออกไปไม่มีกำหนด แต่จะมีการพิจารณาให้คืนเงินประกันมิเตอร์ไฟฟ้า 3,000 บาท ลดค่าน้ำ ค่าไฟ แก๊สหุงต้ม มาตรการทางภาษี และเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีผู้ติดตาม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถูกกล่าวหาเกี่ยวข้องในการกักตุนหน้ากากอนามัยส่งขายต่างประเทศว่ากำลังตรวจสอบอยู่ และผู้ที่ถูกกล่าวอ้างได้ไปแจ้งความร้องทุกข์แล้ว ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องเรียก ร.อ.ธรรมนัส มาพูดคุย เพราะเมื่อมีการจับกุม ผู้ที่เกี่ยวข้องก็ได้รับโทษ แต่ขออย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าใครผิดใครถูก ต้องรอตรวจสอบก่อน พร้อมย้ำว่า จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม
ในช่วงท้ายของการแถลงข่าว นายกรัฐมนตรี ได้บอกว่า คำชี้แจงของผมพอฟังได้ไหม ขอเลิกว่าผมสักที ผมทนไหว ต้องปลุกตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าต้องทำ ถ้าไม่ทำแล้วจะทำอย่างไรกันต่อไป ในช่วงที่ผมยังอยู่ ขอให้ผมได้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แต่อยู่ที่ประชาชนจะเข้าใจหรือไม่ ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ คนรุ่นเก่าคนรุ่นใหม่ ความคิดก็ต่างกัน เพราะฉะนั้นความขัดแย้งค่อนข้างสูง แต่ยืนยันว่าจะทำให้ได้ และได้พูดกับ ครม.ไปแล้ว เราไม่ได้ทำการเมือง ในขณะที่บ้านเมืองยังมีปัญหา เราต้องทำงานในนามของรัฐบาล เพื่อประชาชนทั้งประเทศ