ทันสถานการณ์โลก 06.30น.ประจำวันพุธที่ 18 ธันวาคม 2562
เงินทุนอังกฤษไหลออกจากฮ่องกงกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
รอยเตอร์ รายงานอ้างธนาคารกลางอังกฤษ(BOE)ว่าเงินทุนจำนวน 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯไหลออกจากฮ่องกง ศูนย์กลางการเงินแห่งเอเชีย นับตั้งแต่เดือนเมษายน จากเหตุการประท้วงที่ยืดเยื้อนานหลายเดือน ทำให้ฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางการเงินของโลกได้รับผลกระทบ BOE ติดตามสถานการณ์ในฮ่องกงอย่างใกล้ชิดเนื่องจากธนาคารหลายแห่งของอังกฤษ เช่น เอชเอสบีซี และ สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ มีสาขาอยู่ในฮ่องกง
นับตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุประท้วงเมื่อเดือนมิถุนายน มีรายงานระบุว่า เงินทุนเกือบร้อยละ 1.25 ของจีดีพีของฮ่องกง ไหลออกจากฮ่องกง อุตสาหกรรมท่องเที่ยวซบเซา ตัวเลขยอดค้าปลีกชะลอตัวลงอย่างหนักเมื่อเดือนตุลาคม ทำให้ฮ่องกงเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี เมื่อช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 6.2 และ 5.2 ตามลำดับ ซึ่งนับเป็นการว่างงานในระดับสูงสุดในธุรกิจจัดเลี้ยงในรอบ 8 ปี ทางด้านผู้ประท้วงเตรียมการจัดการชุมนุมประท้วงทั่วฮ่องกงในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ในขณะที่ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ของจีนมีกำหนดจะเดินทางไปเยือนมาเก๊าเป็นเวลา 3 วันตั้งแต่วันนี้ และการรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างเข้มงวด
อินโดฯ ระดมเจ้าหน้าที่เกือบ 2 แสนคน คุมเข้มช่วงเทศกาล ป้องกันเหตุก่อการร้าย
เอเอฟพี รายงานอ้างนายอาร์โก ยูโวโน โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติอินโดนีเซียว่า อินโดนีเซียเตรียมระดมกำลังเจ้าหน้าที่ความมั่นคง 192,000 คน ดูแลความปลอดภัยทั่วประเทศในช่วงก่อนเทศกาลวันคริสต์มาสและวันเฉลิมฉลองในโอกาสส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เพื่อป้องกันเหตุโจมตีของกลุ่มผู้ก่อการร้าย จากข่าวกรองต่างๆที่ได้รับ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติของอินโดนีเซีย ประเมินว่ามีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดเหตุความไม่สงบในช่วงเทศกาล โดยเฉพาะจังหวัดปาปัวทางภาคตะวันออกของประเทศ ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวคริสต์ รัฐบาลอินโดนีเซีย จะระดมกำลังเจ้าหน้าที่ความมั่นคงราว 10,000 คน ดูแลความสงบเรียบร้อยในกรุงจาการ์ตา ในปีนี้รัฐบาลอินโดนีเซียเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยมากกว่าปีที่แล้ว ซึ่งใช้กำลังเจ้าหน้าที่ความมั่นคงดูแลความปลอดภัย 167,000 คนทั่วประเทศ
ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีน ส่งผลราคาน้ำมันโลกปรับเพิ่มขึ้น ตลาดหุ้นยังพุ่งต่อ
ราคาน้ำมันในวันอังคาร(17ธ.ค.) ปรับขึ้น 4 วันติด ยังได้แรงหนุนจากข้อตกลงการค้าเฟส1 ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนมกราคม เพิ่มขึ้น 73 เซนต์ ปิดที่ 60.94 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ลอนดอนงวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้น 76 เซนต์ ปิดที่ 66.10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล น้ำมันทั้งสองสัญญาแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. ในวันอังคาร(17ธ.ค.) ถือเป็นการปิดบวก 4 วันติดต่อกัน และเป็นการขยับขึ้นต่อเนื่องนานที่สุดตั้งแต่เดือนต.ค.
ส่วนราคาทองคำในวันอังคาร(17ธ.ค.) ปิดในกรอบแคบๆ ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของข้อตกลงการค้าสหรัฐฯและจีน โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 10 เซนต์ ปิดที่ 1,480.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯในวันอังคาร(17ธ.ค.) ขยับขึ้นต่อเนื่อง หลังข้อมูลภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการผลิตที่แข็งแกร่ง ช่วยเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุน เพิ่มเติมจากข้อตกลงการค้าระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง ดัชนีอุตสาหกรรม ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 31.27 จุด ปิดที่ 28,267.16 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 1.07 จุด (0.03 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,192.52 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 9.13 จุด (0.10 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 8,823.36 จุด
ศาลปากีสถานตัดสินประหารชีวิต "เปอร์เวซ มูชาร์ราฟ" อดีตผู้นำเผด็จการ
ศาลพิเศษในกรุงอิสลามาบัดของปากีสถานได้มีคำตัดสินโทษประหารชีวิตแก่นายเปอร์เวซ มูชาร์ราฟ อดีตผู้บัญชาการกองทัพและอดีตประธานาธิบดีของปากีสถาน จากการที่นายมูชาร์ราฟประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อวันที่ 3 พ.ย.2007 ซึ่งถือเป็นความพยายามล้มล้างรัฐธรรมนูญ ข้อกล่าวหาดังกล่าวทำให้นายมูชาร์ราฟ กลายเป็นผู้นำกองทัพปากีสถานคนแรก ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหากบฏ โดยผู้พิพากษาศาลพิเศษปากีสถานมีมติ 2-1 เสียงให้ประหารชีวิตนายมูชาร์ราฟ
สำหรับอดีตประธานาธิบดีมูชาร์ราฟ ขึ้นสู่อำนาจผ่านการรัฐประหารในปี1999 ก่อนจะครองอำนาจเป็นผู้นำปากีสถานนานถึง 9 ปี ในเดือนพฤศจิกายน 2007 เขาได้ทำการประกาศภาวะฉุกเฉิน เพื่อหวังระงับใช้รัฐธรรมนูญ พร้อมสั่งจับกุมผู้นำกลุ่มการเมือง รวมถึงปลดคณะผู้พิพากษา การกระทำครั้งนั้นส่งผลให้เกิดการประท้วงใหญ่ในหลายพื้นที่ของปากีสถาน ซึ่งทั้งบรรดานักกฎหมายและนักการเมืองทั่วประเทศต่างร่วมประท้วงด้วย กระทั่งนายมูชาร์ราฟยอมลงจากตำแหน่งในปี 2008 ก่อนที่ต่อมาในปี 2013 จะถูกฟ้องร้องเอาผิดด้วยข้อหากบฎ
สำหรับนายมูชาร์ราฟ ไม่ได้อยู่ในปากีสถาน หลังได้ขออนุญาตเดินทางออกไปรับการรักษาโรคประจำตัวที่นครดูไบ โดยก่อนหน้านี้นายมูชาร์ราฟได้บันทึกคลิปวิดีโอของตนเองขณะเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล พร้อมระบุว่าด้วยสุขภาพที่ย่ำแย่ของตนประกอบกับมารดาที่อายุมาก จึงไม่อาจเดินทางกลับปากีสถานเพื่อฟังคำตัดสินได้ในเร็วๆนี้
นักข่าวไร้พรมแดน เผยปีนี้นักข่าวในพื้นที่สงครามเสียชีวิตทั่วโลก 49 ศพ
ซีเอ็นเอ็น รายงานอ้างนายคริสโตเฟอร์ เดลัวร์ เลขาธิการของนักข่าวไร้พรมแดน(RSF) เอ็นจีโอ ที่มีสำนักงานในกรุงปารีส ฝรั่งเศสว่า รายงานประจำปีของ RSF ชี้ว่า ในปีนี้มีนักข่าวถูกฆ่าตายทั่วโลก 49 ศพ อีก 57 คน ถูกจับเป็นตัวประกันและอีก 389 คนถูกขังอยู่ในเรือนจำ สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 12 มีการตั้งข้อสังเกตว่าตัวเลขนักข่าวที่เสียชีวิตในพื้นที่สงคราม เช่น ซีเรีย อิรัก เยเมนและอัฟกานิสถาน ลดลง ทำให้ตัวเลขนักข่าวที่ถูกฆ่าตายในปีนี้ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2546 เมื่อเทียบกับตัวเลขเฉลี่ยปีละ 80 ศพตลอด 20 ปี
นายเดลัวร์ มองเรื่องการเสียชีวิตของนักข่าวลดลงในพื้นที่สงครามว่าเป็นแนวโน้มที่ดี แต่ในภาพรวม ร้อยละ 63 เสียชีวิตจากกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ เนื่องจากการทำข่าวในประเทศที่ไม่ใช่พื้นที่สงครามและเป็นประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย เช่น ในแถบละตินอเมริกา ในปีนี้มีนักข่าวถูกฆ่ารวม 14 ศพ นับว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวล กระทบต่อการดำรงชีวิตและการทำงานของนักข่าว ทั้งนี้ RSF ตั้งข้อสังเกตว่ามีนักข่าวรวม 8 คนถูกฆ่าตายในบราซิล ชิลี เม็กซิโก ฮอนดูรัส โคลอมเบียและเฮติ แต่ RSF ไม่ได้รวมไว้ในรายงานนี้เนื่องจากอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
ระเบิดเหมืองถ่านหิน ในกุ้ยโจวของจีน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 14 ศพ
บีบีซี รายงานอ้างเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในมณฑลกุ้ยโจว ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีนว่าจากเหตุระเบิดที่เหมืองถ่านหินกวงหลงในมณฑลกุ้ยโจว ช่วงเช้ามืดวันนี้ ทำให้มีคนเสียชีวิต 14 ศพ หน่วยกู้ภัย สามารถช่วยเหลือคนงานเหมืองออกมาได้อย่างปลอดภัย 7 คน แต่อีก 2 คน ยังติดอยู่ใต้เหมืองซึ่งหน่วยกู้ภัยอยู่ระหว่างการช่วยเหลือ นับเป็นอุบัติเหตุล่าสุดจากเหมืองแร่ในประเทศจีน เมื่อวันเสาร์ เกิดเหตุน้ำท่วมเหมืองถ่านหินแห่งหนึ่งในมณฑลเสฉวน มีคนเสียชีวิต 5 ศพ และมีคนติดอยู่ใต้เมือง 13 คน ขณะเกิดเหตุมีคนงานทำงานอยู่ใต้เหมือง 347 คน ต่อเนื่องจากอุบัติเหตุของเหมืองถ่านหินรวม 5 แห่ง รวมถึงมณฑลชานตงเมื่อเดือนตุลาคม ทำให้มีคนเสียชีวิต 37 ศพ ช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ จีนขุดเหมืองถ่านหินแล้ว 3,000 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน