กลับมาระบาด! ตร.ไซเบอร์ เตือนภัย ‘มัลแวร์เรียกค่าไถ่’ (Ransomware) แนะ 9 วิธีรับมือ

22 กุมภาพันธ์ 2566, 15:06น.


          พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษกกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เตือนภัยให้ระมัดระวังตกเป็นเหยื่อ Ransomware หรือมัลแวร์เรียกค่าไถ่  ซึ่งจะเข้ามาล็อกข้อมูลผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นไฟล์เอกสาร รูปภาพ วิดีโอ จนทำให้ไม่สามารถเปิดไฟล์ใดๆ ได้ โดยหากต้องการกู้ข้อมูลคืนมา จะต้องจ่ายเงินค่าไถ่ตามที่ผู้โจมตี หรือมิจฉาชีพเรียกร้อง จำนวนเงินค่าไถ่ก็จะแตกต่างกันไป และการชำระเงินจะต้องชำระผ่านระบบที่มีความยากต่อการตรวจสอบ หรือติดตาม เช่น การโอนเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์, การชำระเงินออนไลน์แบบเติมเงินโดยใช้บัตรกำนัล (Paysafecard), เงินสกุลดิจิทัล เป็นต้น



          โดยการแอบแฝงจะมาในรูปแบบเอกสารแนบมากับอีเมล โดยการสร้างเว็บไซต์ปลอม หรืออีเมลปลอม แล้วส่งข้อมูลมาในรูปเอกสารที่ใช้ไฟล์ .doc หรือ .xls แต่ความจริงคือเป็นไฟล์ “.doc .exe ” หรือแฝงตัวมาในรูปแบบของโฆษณา (Malvertising) โดยการโฆษณาไปยังบริษัทเป้าหมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความสามารถในการจ่ายเงินค่าไถ่ หรืออาจจะเกิดจากบุคคลในองค์กรเองที่ไปคลิกลิงก์ที่คนร้ายส่งมา ทำให้มัลแวร์ดังกล่าวติดตั้งตัวเองในระบบแล้วทำการเข้ารหัส หรือล็อกไฟล์ทั้งหมด จากนั้นจะมีข้อความเตือนที่หน้าจอให้ติดต่อกลับไป คนร้ายมักจะเรียกเป็นสกุลเงินดิจิทัล หากไม่ยอมจ่ายคนร้ายจะข่มขู่ว่าจะทำลายไฟล์ทั้งหมด หรือนำไปเปิดเผยต่อไป



          การกระทำลักษณะดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดฐาน “ ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดฐานเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง”



          โฆษก บช.สอท. ยังได้แนะนำให้ผู้ใช้งานทั่วไป ผู้ดูแลระบบองค์กร (Admin) วางมาตรการป้องกันการถูกเรียกค่าไถ่ข้อมูล (Ransomware) 9 ข้อ ดังต่อไปนี้



1.ใช้กฎ 3-2-1 Backup Rule คือ การเก็บข้อมูลสำคัญเอาไว้ 3 ชุด ได้แก่ ข้อมูลหลักต้นฉบับ 1 ชุด และข้อมูลสำรองอีก 2 ชุด โดยเก็บไฟล์เหล่านั้นเอาไว้บนอุปกรณ์ที่แยกขาดจากกัน 2 ประเภท และข้อมูลสำรองชุดหนึ่ง นำไปเก็บไว้ที่ต่างสาขา หรือสำรองเอาไว้แบบออฟไลน์



2.อัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ การอัปเดตระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์จะช่วยป้องกันการโจมตีที่ต้องอาศัยช่องโหว่ของซอฟต์แวร์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Adobe Flash, Microsoft Silverlight และเว็บเบราว์เซอร์ ควรติดตามและอัปเดตให้เป็นปัจจุบัน



3.ติดตั้งโปรแกรมป้องกันมัลแวร์ (Anti-malware) ลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อป้องกันการเข้าถึงเว็บไซต์ที่เป็นอันตรายและตรวจสอบไฟล์ทั้งหมดที่ถูกดาวน์โหลด



4.เมื่อพบเว็บไซต์ หรือไฟล์ หรือลิงก์ ที่ไม่น่าไว้ใจ ให้รีบลบทิ้ง ไม่ควรลองคลิกเปิดดูว่าเป็นโปรแกรมใด และเมื่อได้รับอีเมลควรตรวจสอบให้ดีก่อนการดาวน์โหลดเอกสารที่แนบมา หรือติดต่อไปยังผู้ส่ง



5.ห้ามพนักงานใช้เครื่องคอมพิวเตอร์บริษัท หรือหน่วยงานทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น เปิดอีเมลส่วนตัว หรือเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์อันตราย



6.ปิดการดาวน์โหลดอัตโนมัติ (autorun) กรณีใช้ Flash Drive Harddisk และสมาร์ทโฟนบน Windows เพื่อป้องกันมัลแวร์



7.ไฟล์ที่สำคัญ ให้กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงจากบุคคลภายนอกให้เพียง Read-only เท่านั้น



8.ทำการ block blacklist IP จากข้อมูล Threat Intelligence เพื่อเป็นการป้องกันเบื้องต้นในการเข้าถึง Server ต่าง ๆ ที่เป็นอันตราย



9.ติดตามข่าวสาร ควรติดตามข่าวสารช่องโหว่หรือภัยคุกคามต่าง ๆ รวมถึงศึกษาวิธีการป้องกันเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของเหล่าผู้ไม่หวังดีและเพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ใช้งานเอง





#มัลแวร์โจมตี



 

ข่าวทั้งหมด

X