หุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงแรง หลังจากบริษัทค้าปลีก เปิดเผยผลประกอบการที่ชะลอตัวลงอย่างแรง กดดันความเชื่อมั่นของตลาดและผู้บริโภค
-ราคาหุ้นของบริษัทโฮม ดีโปท์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ดิ่งลงกว่า 3% ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
-ราคาหุ้นของบริษัทวอลมาร์ท ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกใหญ่ที่สุดในโลกร่วงลงเช่นกัน แม้เปิดเผยตัวเลขกำไรและรายได้ในไตรมาส 4/2565 สูงกว่าคาด แต่บริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการประจำปี 2566 ที่ต่ำกว่าคาด
การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อคืนนี้ (21 ก.พ.66) เวลา 21.32 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 33,542.16 จุด ลดลง 284.53 จุด หรือ 0.84%
-เวลา 22.08 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 33,418.91 จุด ลดลง 407.78 จุด หรือ 1.21% ราคาหุ้นของบริษัทโฮม ดีโปท์ อิงค์ ดิ่งลงกว่า 5%
-เวลา 23.35 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 33,298.40 จุด ลดลง 528.29 จุด หรือ 1.56%
CNBC รายงานว่า
-ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ปิดลบเกือบ 700 จุด ลดลง 697.10 จุด หรือ 2.06% ปิดที่ 33,129.59 จุด ชะลอตัวลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.65
-ขณะที่หุ้นเอสแอนด์พี 500 ลดลง 81.75 จุด ร่วงลง 2.0% ปิดที่ 3,997.34 จุด
-หุ้นแนสแดค ร่วงลง 2.50% ลดลง 294.97 จุด ปิดที่ 11,492.30 จุด
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนานกว่าคาดเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯทำให้นักลงทุน วิตกว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้จากต่างประเทศ ส่วนการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐฯ จะทำให้ผู้บริโภคมีเงินสำหรับการใช้จ่ายลดน้อยลง และบริษัทต่างๆจะได้รับผลกระทบกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ทำให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
โกลด์แมน แซคส์ ออกรายงานคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% อีก 3 ครั้งในปีนี้ สู่ระดับสูงสุดที่ 5.25-5.50% หลังการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาด และตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง
รายงานดังกล่าวสอดคล้องกับ FedWatch Tool ของ CME Group ชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมี.ค.66, พ.ค.66 และมิ.ย.66 ครั้งละ 0.25% สู่ระดับสูงสุดที่ 5.25-5.50% และคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าว ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนธ.ค.66
ในวันนี้ (22 ก.พ.66) นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด รวมทั้งการเปิดเผยรายงานการประชุมเฟดประจำวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ.66 เพื่อหาสัญญาณชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด
สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองลดลง 0.7% สู่ระดับ 4.00 ล้านยูนิตในเดือนม.ค.66 เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2553 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.10 ล้านยูนิต โดยเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกันเมื่อเทียบรายปี ยอดขายบ้านดิ่งลง 36.9% ในเดือนม.ค.66
ยอดขายบ้านมือสองได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาบ้านและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง
ส่วนสต็อกบ้านในตลาดอยู่ที่ระดับ 980,000 ยูนิตในเดือนม.ค.66 เพิ่มขึ้น 15.3% จากเดือนธ.ค.65 นอกจากนี้ ราคาเฉลี่ยของบ้านเพิ่มขึ้น 1.3% สู่ระดับ 359,000 ดอลลาร์
เมื่อพิจารณายอดขายบ้าน และสต็อกบ้านในตลาด พบว่า ผู้ขายบ้านต้องใช้เวลา 2.9 เดือนในการขายบ้านจนหมดสต็อกในตลาด เพิ่มขึ้นจาก 1.6 เดือนในปีที่แล้ว
#หุ้นสหรัฐฯร่วงลงแรง
CR:CNBC