ศรีลังกาประสบวิกฤตเศรษฐกิจครั้งร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 2491 หรือเมื่อ 74 ปีก่อน อยู่ระหว่างทำงานอย่างใกล้ชิดกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ในเรื่องโครงการช่วยกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจ รอยเตอร์ รายงานว่า ประธานาธิบดีรานิล วิกรมสิงเห ของศรีลังกา ได้แถลงเรื่องแผนงบประมาณประจำปี 2567 ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ มุ่งเน้นแผนปฏิรูปเศรษฐกิจ รวมทั้งปรับโครงสร้างหนี้ เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย เพื่อทำให้ฐานะทางการคลังของประเทศมีความมั่นคงในระยะยาว ทั้งให้คำมั่นจะขับเคลื่อนประเทศให้พ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจ จนสามารถชำระเงินกู้ 2,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯคืนให้กับเจ้าหนี้ระหว่างประเทศ รวมทั้งไอเอ็มเอฟได้
นอกจากนี้ รัฐบาลศรีลังกา เสนอให้มีการปรับขึ้นภาษีเงินได้ทั้งประเภทบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล จากร้อยละ 24 มาอยู่ที่ร้อยละ 30 เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับรัฐ แม้จะถูกคัดค้านจากบริษัทเอกชนและพรรคฝ่ายค้าน
ด้านนายแรนจิธ สยามบาลิติยา รัฐมนตรีคลังของศรีลังกา กล่าวว่า รัฐบาลนำเสนอแผนงบประมาณให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาอนุมัติ หลังศรีลังกาเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจหนักที่สุดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยกว่าร้อยละ 70 ของครัวเรือนในศรีลังกาขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ พร้อมคาดว่าเศรษฐกิจของศรีลังกาจะติดลบร้อยละ 8.3 ในปีนี้ นายสยามบาลิติยา ย้ำว่า แผนงบประมาณที่รัฐบาลเสนอให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาอนุมัติครั้งนี้นับว่าเป็นนโยบายทางการเมืองและเศรษฐกิจสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศกลับมาเข้มแข็งในระยะยาว
ธนาคารโลก คาดว่า เศรษฐกิจของศรีลังกาจะติดลบร้อยละ 9.2 ในปีนี้และติดลบร้อยละ 4.2 ในปีหน้า
ศรีลังกา มีประชากร 22 ล้านคน ประสบวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรงที่สุดในปีนี้ หลังปิดประเทศเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา สูญเสียรายได้จำนวนมากจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และรัฐบาลบริหารนโยบายเศรษฐกิจผิดพลาดมาหลายปี ส่งผลให้เงินคงคลังของประเทศลดลงมาก ไม่สามารถนำเข้าสินค้าสำคัญๆเช่น น้ำมันเชื้อเพลิง อีกทั้งมีปัญหาเงินเฟ้อพุ่งสูง ค่าเงินรูปีศรีลังการ่วงหนักเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
#ศรีลังกา
#แผนงบประมาณ
#กอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจ