ในงานกาลาดินเนอร์ของการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 เป็นโอกาสดีที่ประเทศไทย จะได้นำเสนออาหารไทยเลิศรส ให้แก่ผู้นำประเทศและคู่สมรถที่มาเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ เพื่อเป็นสื่อกลางบอกเล่าถึงวัฒนธรรมอันมีเอกลักษณ์ และภูมิปัญญาไทย ให้นานาประเทศได้สัมผัสและลิ้มลอง
ซึ่งผู้รังสรรค์อาหารครั้งนี้คือ นายชุมพล แจ้งไพร เชฟมิชลินสตาร์ ที่จะนำเสนอความรุ่งเรืองของราชอาณาจักรไทยในแต่ละยุคสมัย มาหลอมรวมเป็นรสชาติความเป็นไทย หรือ The Symphony of Thai Tastes
เริ่มต้นด้วยจานแรก “เรียกรส” หรือ Appetizer เสิร์ฟ 5 เมนูเรียกน้ำย่อย โดยวัตถุดิบที่โดดเด่นจากทั่วทุกภาคของประเทศไทย ด้วยการเสิร์ฟกับเครื่องสังคโลก เปรียบเทียบกับยุคสุโขทัย ยุคเริ่มแรกแห่งความรุ่งเรืองของวัฒนธรรมอาหารไทย ได้แก่
- เมนูหมี่กรอบไทยชาววังหอมกลิ่นส้มซ่าจากสวนเมืองนนท์เสิร์ฟในกระทงจากแป้งข้าวไทย
- เมนูทอดมันปลากรายจากปากน้ำโพธิ์พร้อมกับน้ำอาจาดเยลลี่ทำจากน้ำส้มสายชูหมักจากข้าวหอมมะลิ
- เมนูผัดไทยเส้นจันท์กับกุ้งแชบ๊วยจากอ่าวไทย
- เมนูยำทวายไก่ฟ้าโครงการหลวงและผักออร์แกนิก 9 อย่างจากทุกทิศทั่วไทย
- เมนูไก่บ้านพื้นเมืองเบตงหมักสมุนไพรไทยอย่างถ่านไม้มะดันหอมและซอสฆอและ
ถัดมา “รุ่มรส” หรือ Soup เชฟชุมพลกล่าวว่า ไม่มีอะไรโดดจะเด่นเกินกว่าต้มยำกุ้ง อย่างแน่นอน ซึ่งซุปนี้เป็นต้มยำกุ้งแบบดั้งเดิม ที่เสิร์ฟด้วยเครื่องเบญจรงค์ลายเทพนม-นรสิงห์ พื้นดำ ซึ่งเป็นที่นิยมในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา
ลำดับต่อไป “ร่ำรส” หรือ Main Course อาหารจานหลักที่เลือกเสิร์ฟสำรับไทย ด้วยเครื่องเบญจรงค์ลายก้านขดน้ำทอง เปรียบเป็นยุคธนบุรีต่อรัตนโกสินทร์ตอนต้น เป็นการผสมผสานวัตถุดิบชั้นเลิศจากทั่วประเทศ เช่น ปลากะพงน้ำลึก จาก จ.กระบี่ ย่างน้ำมะขามเมืองเพชรบูรณ์ เสิร์ฟกับหน่อไม้ฝรั่งจากดอนตูม นครปฐม ทานคู่กับข้าว 5 ชนิดจากทั่วเมืองไทย
และสุดท้ายคือ “รื่นรส” หรือ Dessert ของหวานที่เสิร์ฟด้วยเครื่องเบญจรงค์ลายจักรกรีน้ำทองด้าน จากยุครัตนโกสินทร์ในปัจจุบัน ได้แก่ เมนูข้าวเหนียวมูนเขี้ยวงูใหม่จากเชียงใหม่ คู่กับมะม่วงพาร์เฟต์สอดไส้มังคุดเมืองใต้ มาการองทุเรียนหมอนทองจากระยอง และขนมโบราณเกสรลำเจียกปรุงน้ำหอมดอกไม้ พร้อมไอศกรีมกะทิสดจากเกาะพงัน
ทั้งนี้อาหาร เป็นสื่อทางวัฒนธรรมที่จะช่วยสร้างความเข้าใจ และเชื่อมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับนานาประเทศได้อย่างดี
ข้อมูลจาก : กระทรวงการต่างประเทศ