บุหรี่และแอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่ทำให้ประชากรทั่วโลกเจ็บป่วยและสูญเสียไปอย่างมหาศาล ทั้งเสียเงิน เสียเวลา เสียสุขภาพ และเสียชีวิต ซึ่งผลกระทบไม่ได้ตกเพียงแค่ผู้สูบและผู้ดื่มเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงคนรอบข้างที่ได้รับควันบุหรี่มือ 2 และมือ 3 ในสังคม และผู้ที่ต้องใช้รถใช้ถนนร่วมกันในสังคมอีกด้วย
หลายหน่วยงานทั้งในประเทศและต่างประเทศจึงได้ร่วมกันรณรงค์และผลักดันลดการใช้บุหรี่และแอลกอฮอล์มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเทคโนโลยีและกลยุทธ์ทางการตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้เกิดการเข้าถึงและการโฆษณาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่สามารถเชื่อมโยงกับบุหรี่และแอลกอฮอล์ได้ เมื่อไม่นานมานี้ เครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา และศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) ร่วมกันจัดเวทีเสวนาวิชาการในหัวข้อ “จากบุหรี่ไฟฟ้าถึงเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ ทางเลือกเพื่อสุขภาพหรือการตลาดอาบยาพิษ” เพื่อให้ความรู้เท่าทันต่อกลยุทธ์ทางการขาย ให้ข้อมูลอันตรายเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าและเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ที่ได้จากงานวิจัย รวมถึงผลักดันการใช้สัญลักษณ์เพื่อความชัดเจนในการเข้าถึงสินค้าอย่างเป็นรูปธรรม สู่การลดอัตราการเกิดนักสูบและนักดื่มหน้าใหม่อย่างแท้จริง
โดย ดร.วศิน พิพัฒนฉัตร ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยข้อมูลอันตรายจากบุหรี่ไฟฟ้าว่า ปัจจุบันมีคนบางกลุ่มเชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยให้เลิกสูบบุหรี่ธรรมดาแบบมวนได้ ขณะที่องค์การอนามัยโลกให้ข้อมูลว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่อุปกรณ์สำหรับเลิกบุหรี่ เพราะความจริงแล้วในบุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคติน ซึ่งส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจสูง ความดันโลหิตสูง ภาวะหลอดเลือดสมองหดตัว เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง เกิดการเสพติดสูงกว่าเฮโรอีนและสามารถเพิ่มปริมาณสารนิโคตินได้ 3-10 เท่าในแต่ละครั้งที่สูบ และยังมีโลหะหนัก เช่น นิเกิล โครเมียม ที่มีพิษต่อปอด แคดเมียมที่มีพิษต่อไต สารบางชนิดเมื่อโดนความร้อนแล้วกลายเป็นไอน้ำเมื่อเสพจะเกิดเป็นสารก่อมะเร็ง ที่สำคัญสารแต่งกลิ่นยังมีฤทธิ์ทำลายเยื่อบุหลอดลม ซึ่งการปล่อยอนุภาคของบุหรี่ไฟฟ้าเล็กกว่า PM2.5 ทำให้แทรกซึมไปก่ออันตรายในอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย
นอกจากความเสี่ยงด้านสุขภาพแล้ว ดร.วศิน ยังกล่าวต่อว่า จากงานประชุมวิชาการโรคหลอดเลือดสมองระดับนานาชาติพบข้อมูลว่า ผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าเสี่ยงเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบสูงขึ้นถึงร้อยละ 71 เกิดโรคหัวใจวายเฉียบพลันสูงขึ้นร้อยละ 59 และกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดสูงขึ้นร้อยละ 40 นอกจากนี้ในปี 2015 ถึง 2017 เกิดเหตุบุหรี่ไฟฟ้าระเบิดในสหรัฐอเมริกาประมาณ 2,035 ครั้ง ซึ่งผู้ได้รับบาดเจ็บเข้ารักษาตัวในแผนกฉุกเฉินส่วนใหญ่เป็นเยาวชน ทั้งนี้จากงานวิจัยในหลายประเทศ เช่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ พบข้อมูลว่าเยาวชนที่เคยสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีโอกาสสูบกัญชามากกว่า 3.47 เท่า โดยในไต้หวันพบว่านักเรียนที่เคยใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีแนวโน้มสูบบุหรี่จริงมากกว่าคนที่ไม่เคยใช้ และมีแนวโน้มใช้ทั้งบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่จริงเพิ่มจากร้อยละ 0.9 ในปี 2014 เป็นร้อยละ 1.6 ในปี 2016
ด้าน ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว นักวิชาการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยระบบสุขภาพและการแพทย์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวในประเด็นเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ในมิติทางเลือกเพื่อสุขภาพ ว่า ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ศวส. เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 3,929 คน พบว่า ร้อยละ 6.9 เคยดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ หรือเบียร์ 0% กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 25.6 ไม่ตั้งใจดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์แทนเบียร์ปกติ มีเพียงร้อยละ 3.8 เท่านั้นที่ตั้งใจดื่ม แทนเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ เมื่อถามถึงการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ร้อยละ 29 ของกลุ่มตัวอย่างตอบว่าเคยเห็นโฆษณา และ 3 ใน 4 เข้าใจว่าสินค้าชนิดนี้คือเบียร์ปกติของยี่ห้อดังกล่าว เนื่องจากหากไม่สังเกตจะไม่สามารถแยกความแตกต่างได้ ทั้งสัญลักษณ์ตราสินค้า ขวด สี หรือวางจำหน่ายในบริเวณที่ใกล้เคียงกัน นอกจากนี้มีกลุ่มตัวอย่างถึงร้อยละ 41.8 ที่บอกว่าเมื่อเห็นโฆษณาเบียร์ไร้แอลกอฮอล์แล้วอยากซื้อเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ยี่ห้อนั้นดื่ม ร้อยละ 36.5 อยากดื่มเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ยี่ห้อนั้น ร้อยละ 29 อยากดื่มเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ยี่ห้อไหนก็ได้
“ไม่ขอโต้แย้งในเรื่องความอันตราย เพราะเมื่อไม่มีแอลกอฮอล์ก็ย่อมดีต่อสุขภาพอยู่แล้ว แต่อันตรายที่จะนำเสนอในวันนี้คืออันตรายจากการตลาดโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพราะปัจจุบันยังมีช่องโหว่ทางกฎหมายที่บริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใช้ในการทำการตลาด ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถแยกความแตกต่างได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ภาครัฐต้องควบคุมแพ็คเกจสินค้าเหล่านี้ให้ต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งตราสัญลักษณ์ หรือชื่อ เพื่อไม่ให้เกิดปรากฏการณ์โฆษณาแฝง หากไม่เร่งดำเนินการผู้บริโภคอาจรู้ไม่เท่าทันและอาจก่อให้เกิดนักดื่มหน้าใหม่เพิ่มขึ้น เพราะจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 63 เห็นว่าควรห้ามขาย ร้อยละ 69 เห็นว่าควรจำกัดเวลาและสถานที่ผู้ซื้อ และ ร้อยละ 63 เห็นว่าไม่ควรจำหน่ายให้เยาวชนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี” ดร.นพ.อุดมศักดิ์ กล่าว
ขณะที่หนึ่งในคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดร.บุญอยู่ ขอพรประเสริฐ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกริก กล่าวในฐานะนักนิเทศศาสตร์ในประเด็นเบียร์ไร้แอลกอฮอล์หรือตามที่ อย. ให้ชื่อเรียกว่าเครื่องดื่มมอลต์ไม่มีแอลกอฮอล์ว่า ปัจจุบันมี พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ตามมาตรา 32 ซึ่งห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม ทำให้บริษัทผู้ผลิตต้องขยายผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าประเภทอื่นเพื่อเพิ่มโอกาสในการโฆษณาตราสินค้า เพื่อให้คนจดจำได้และสามารถโฆษณาได้อย่างต่อเนื่อง เช่น เบียร์ไร้แอลกอฮอล์ น้ำดื่ม โซดา เมื่อคนส่วนใหญ่เห็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ก็จะนึกถึงผลิตภัณฑ์แรกโดยอัตโนมัตินั่นเอง
“จากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างวัยรุ่นพบว่า ไม่ว่าบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะโฆษณาสินค้าชนิดใดก็นึกถึงสินค้าแอลกอฮอล์ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่เข้ามาก่อน ในทางจิตวิทยานิเทศศาสตร์จึงมองว่าเป็นช่องทางโฆษณาตราสินค้าไม่ใช่สินค้าเพื่อทำให้ติดหูติดตาติดตลาดผู้บริโภค ตรงนี้อาจก่อให้เกิดนักดื่มหน้าใหม่ในเยาวชนเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ปกครองอาจรู้ไม่เท่าทันคิดว่าไม่เป็นไร และเห็นการโฆษณาจนชิดคิดว่าเบียร์ในท้องตลาดเป็นเครื่องดื่มปกติ เมื่อโตขึ้นก็อาจเพิ่มดีกรีความดื่ม ในขณะที่บุหรี่ไฟฟ้ามีความแตกต่างจากบุหรี่ในเรื่องรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง หลายแบบ หลายสีสัน ปัจจุบันมีกฎหมายควบคุมทั้งการห้ามนำเข้า ห้ามขาย และห้ามครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า กระทรวงสาธารณสุขต้องจับมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทำให้การโฆษณาบุหรี่ไฟฟ้าหมดไป” ดร.บุญอยู่ กล่าว
ก่อนที่เยาวชนจะกลายเป็นนักดื่มและนักสูบหน้าใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่านี้ ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันให้ความรู้ข้อเท็จจริง ความเข้าใจ และผลกระทบที่เกิดจากการใช้บุหรี่ไฟฟ้าและเบียร์ไร้แอลกอฮอล์อย่างจริงจัง เพื่อสกัดกั้นวงจรอบายมุขที่จะเป็นต้นทางของการใช้สารเสพติดอื่น ๆ รวมถึงผลิตเยาวชนคนสร้างชาติที่สุขภาพร่างกายแข็งแรง พร้อมนำพาประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้นนั่นเอง