เวทีสัมมนาวิชาการระดับชาติ เรื่องความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 14 ภายใต้หัวข้อ “เดิน ขี่ ขับ ไปกลับ ปลอดภัย” (Play your part and share the road) ที่ผ่านมา ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ร่วมกับศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธินโยบายถนนปลอดภัย โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประธานเปิดงาน ระบุว่าภาพรวมทุกประเทศทั่วโลก ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ คนเดินถนน และผู้ใช้จักรยาน เสียชีวิตเฉลี่ยร้อยละ 49 ซึ่งไทยมีสัดส่วนเสียชีวิตสูงกว่าทั่วโลกเกือบ 2 เท่า ถ้านับเฉพาะอัตราการเสียชีวิตในกลุ่มรถจักรยานยนต์ จะสูงถึง 24.3 ต่อประชากรแสนคน มากเป็นอันดับ 1 ของโลก ในแต่ละปีคนไทยกว่า 20,000 คนต้องเสียชีวิต และมีผู้พิการรายใหม่อีกกว่า 6,000 ราย ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมกว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี
เพื่อหาทางออกและระดมความคิดร่วมกันลดตัวเลขการตายทางถนน ในเวทีสัมมนามีการปฐกถา เรื่องมุ่งส่งเสริมระบบความปลอดภัยทางถนนให้เข้มแข็ง นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่าตัวเลขการตายบนถนนล่าสุดในประเทศไทยอยู่ที่ 20,169 ราย หรือ 1.3 คนต่ออัตราประชากรแสนคน ขณะที่ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน 3,700 ราย อย่างไรก็ตามตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา ยังไม่มีสัญญาณเป็นนัยสำคัญที่ตัวเลขการตายบนถนนของประเทศไทยจะลดลง แม้ประเทศไทยจะมีการลงมติแก้ไขอุบัติเหตุทางถนนกับองค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็น ดังนั้นรัฐต้องผนึกกำลังแกัไขเครือข่ายภาคสังคมแก้ไขปัญหา ในฐานะสว.ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ การแก้ไขต้องบูรณาการแก้ไขปัญหาทั้งคน นอกเหนือใช้มาตราการทางกฏหมายแล้ว ซึ่งวันที่ 19 ก.ย.2562 จะบังคับใช้กฏหมายพรบ.จราจร 2522 ฉบับแก้ไข สาระสำคัญเพิ่มบทบัญญัติ ผู้ขับขี่ที่ดื่มเหล้าให้อำนาจพนักงานจราจรไม่ให้ใช้รถต่อไป นำระบบตัดคะแนนหักโทษปรับและจะถูกพักใบอนุญาต
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการใช้กฏหมายแล้ว ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ควรเสริมมาาตราการความปลอดภัยให้กับยานพาหนะโดยติดตั้งถุงลมนิรภัยในรถยนต์ ระบบเอบีเบรคเอบีเอส ระบบคาร์ซีท เช่นเดียวกับการกำหนดความร็ว ให้สอดคล้องกับกับถนนที่มีมาตรฐานเพื่อความปลอดภัยของคนทุกกลุ่ม
ด้านดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนการสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส.ได้เข้ามาทำงานความปลอดภัยทางถนนในปี 2546 ตั้งแต่การทำงานด้านความปลอดภัยทางถนนในประเทศไทยเปรียบเหมือนวงดนตรีที่ไม่มีคอนดักเตอร์ มีหน่วยงานเกี่ยวข้องเยอะมาก แต่ไม่มีมาสเตอร์แพลนที่ชัดเจน จนมีศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ตามมติคณะรัฐมนตรีขึ้น สสส.ได้เข้ามาสนับสนุนการทำทำงานโดยสร้างฐานความรู้ทางวิชาการ ซึ่งพลังทางสังคมมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมาก เกิดการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา ได้เห็นการทำงานอุบัติเหตุเรื่อง 7 วันอันตราย มีหน่วยงานที่ทำงานด้านอุบัติเหตุทำงานร่วมกันมากว่า 50 หน่วยงาน ศูนย์วิชาการความปลอดภัยทางถนนได้ถูกก่อร่างสร้างขึ้นมา ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุม งานอุบัติเหตุมีการบูรณาการเพิ่มขึ้น มีภาคีการทำงานมากกว่า 50 หน่วยงานทั้งภาคสังคม เอกชน เข้ามาประสานกัน และในปี 2554 มีโครงสร้างที่ตอกย้ำชัดเจนด้วยระเบียบสำนักนายก มีศูนย์อุบัติเหตุแห่งชาติระดับจังหวัด ท้องถิ่นระดับจังหวัดอำเภอ ตำบลขึ้นมา พร้อมด้วยนโยบายสำคัญด้วยการสวมหมวกนิรภัย 100 % การก้าวเข้าสู่ไปรับทศวรรษความปลอดภัยทางถนนจากองค์องค์การสหประชาชาติ เพื่อจะลดตัวเลขอุบัติเหตุทางถนนให้เหลือครึ่งหนึ่ง
ดร.สุปรีดา ยังกล่าวอีกว่าได้บูรณาการข้อมูลตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน จากฐานข้อมูลของตร. รพ. และบริษัทกลางฯ เข้าไปด้วยกันทำให้มีข้อมูลที่สมบูรณ์ขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อย้อนไปดูข้อมูลอุบัติเหตุในปี 2559 จนมาถึงปี 2560 อุบัติเหตุลดลง แม้จังหวัดระยองยังเป็นจังหวัดที่มีอุบัติเหตุทางถนนเป็นอันดับต้นมาตลอด แต่มีแนวโน้มที่ลดลง ภายใต้ความจริงที่ว่าจำนวนรถบนถนนที่จดทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 3 ล้านคันเพิ่มขึ้นทุกปี ขณะที่เดิมอัตราการตายในช่วง 7 วันอันตรายที่ผ่านมา มีคนตายถึง 700 กว่าคน แต่ตอนนี้ลดลงเหลือประมาณ 300 กว่า ซึ่งจยย.เป็นอุบัติเหตุที่มากสุดในท้องถนน ดังนั้นตัวเลขของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนจึงเป็นกลุ่มเยาวชน อายุ 15-24 ปี อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาอุบัติเหตุเปรียบเสมือนภูเขาสูงที่ต้องไต่ขึ้นมา แต่เมื่อมองย้อนกลับถือว่าเดินมาไกลพอสมควร หยาดเหงื่อแรงงานทุกคนที่ทำงานลงไปได้ช่วยรักษาชีวิตคน แต่มีสิ่งที่จะทำต่อไปคือการมุ่งเป้าพิเศษไปกับปัญหาใหญ่ เรื่องแรกคือปัญหาเรื่องอุบัติเหตุจากจยย.ซึ่งมีตัวเลขถึง 70 %ของตัวเลขอุบัติเหตุทั้งหมด รวมทั้งการผลักดันเรื่องเบรกเอบีเอสในรถจยย. สนับสนุนถนนให้มีมาตรฐาน 5 ดาว ทั้งนี้การทำงานต้องตั้งเป้าและทำทั้งปีเหมือนตัวอย่างของการทำงาน 7 วันอันตราย
อย่างไรก็ตามศูนย์ความปลอดภัยทางถนนควรได้รับการยกระดับเป็นองค์มหาชน เหมือนกับศูนย์ไมลอสของมาเลเซียที่ทำงานสืบสวนสอบสวนเรื่องอุบัติเหตุ ทำงานคู่ขนานไปกับศูนย์ปลอดภัยทางถนนระดับตำบลสามารถมีแนวทางที่จะลดการตายถนนลงตำบลละ 1 แห่ง เท่ากับลดการตายบนถนนได้ปีละ 7,000 กว่าคน โดยท้องถิ่นทำได้ด้วยการลดการใช้ความเร็วของถนนในชุมชน ร่วมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน
ด้าน นายกมล บูรณพงศ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมพยายามบูรณาการ คุณภาพของผู้ขอใบขับขี่ให้อิงกับมาตรฐานสากล ขณะนี้มีจำนวนยานพาหนะในประเทศจำนวน 40 ล้านคัน ขณะที่ตัวเลขจำนวนประชากรประมาณ 66 ล้านคน เท่ากับเฉลี่ย 3 คนเศษ มีผู้ครอบครองรถ 2 คัน โดยตัวเลขจยย.อยู่ที่ 21 ล้าน 13 ล้านคนมีใบขับขี่ ปัจจัยเรื่องไม่ต้องใช้เงินดาวน์เมื่อซื้อจยย.ทำให้คนไทยเป็นเจ้าของรถจยย.โดยง่ายถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยง ต่อไประบบการสอบใบขับขี่จะใช้ระบบอีไดร์ฟวิ่งแก้ปัญหาการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ ขยายให้ครอบคลุม 11 จังหวัดในโรงเรียนสอนขับรถประมาณ 277 แห่ง เช่นเดียวกันแยกใบขับขี่ของบิ๊กไบค์ ผู้ขับขี่บิ๊กไบค์จะต้องผ่านการทดสอบทฤษฎีจำนวน 400 ข้อและทดสอบปฏิบัติจำนวน 12 ชม.
หลากมุมมองภายใต้องค์ความรู้สะท้อนออกมาถึงแนวทางแก้ไขของอุบัติของประเทศไทย ซึ่งต้องเดินไปภายใต้หลักวิชาการ ข้อมูลสถิติของอุบัติเหตุแต่ละด้านเพื่อบรรลุเป้าหมายลดตัวเลขการตายบนถนนให้ได้มากที่สุด