ข้อมูลสถิติจากองค์การอนามัยโลก และกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตจากการชนบนถนนของวัยรุ่นและเยาวชนสูงเป็นอันดับที่ 1 ในกลุ่มประเทศอาเซียนและสูงเป็น 2 เท่าของอัตราเฉลี่ยทั่วโลก โดยสถิติการเสียชีวิตจากการชนบนถนนของวัยรุ่นและเยาวชนทั่วโลกร้อยละ 20.2 ในกลุ่มประเทศอาเซียนร้อยละ 22.7 สำหรับประเทศไทยสูงถึงร้อยละ 42.6
ในแต่ละวันมีวัยรุ่นและเยาวชนเสียชีวิตเฉลี่ย 13 คน บาดเจ็บ 800 คน บาดเจ็บสาหัส 150 คน และกลายเป็นผู้พิการ 7 คน
ซึ่ง 4 ใน 5 คน ของผู้เสียชีวิตเป็นเพศชายและ 1 ใน 4 คน ของผู้เสียชีวิตดื่มแอลกอฮอล์ มากกว่า 4 ใน 5 คน ของผู้เสียชีวิตเป็นผู้ใช้รถจักรยานยนต์ และ 9 ใน 10 คน ที่เสียชีวิตจากจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกกันน็อก
ปัญหาเหล่านี้ทางภาครัฐ เอกชน รวมทั้ง หน่วยงานอื่นๆ ที่มองเห็นปัญหาเหล่านี้สร้างความสูญเสียต่อประชากรที่เป็นกำลังสำคัญในอนาคต รวมถึงกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอีกหลายแสนล้านบาทต่อปี จึงเร่งผลักดันวิธีการลดปัญหาการบาดเจ็บและการเสียชีวิตจากการชนบนถนนของวัยรุ่นและเยาวชนไทย
รณรงค์สร้างความตระหนักเรื่องการลดความเร็ว และกำหนดและบังคับใช้กฎหมายจำกัดความเร็ว รวมทั้งจำกัดการขับขี่เมื่อดื่มแอลกอฮอล์
กำหนดและบังคับใช้กฎหมายการสวมหมวกกันน็อกได้มาตรฐานอย่างถูกต้อง มีการรณรงค์สร้างความตระหนักและแจกหมวกกันน็อกกับนักเรียน
ผลักดันกฎหมายจำกัดแอลกอฮอล์สูงสุดในกระแสเลือดของผู้ขับขี่วัยรุ่นในปริมาณที่ต่ำกว่าผู้ใหญ่ บังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่องโดยการสุ่มตรวจ และการตรวจสอบอาการเมา จำกัดวัน เวลา และสถานที่สามารถจำหน่ายแอลกอฮอล์ให้แก่ผู้ขับขี่วัยรุ่น มีกฎหมายกำหนดอายุขั้นต่ำผู้ดื่มแอลกอฮอล์ จัดทำโครงการเพื่อนเมาเราขับให้ รวมถึงมีสื่อสารเพื่อปรับปรุงทัศนคติของวัยรุ่น
ด้านความปลอดภัยของเข็มขัดนิรภัยควรกำหนดและบังคับใช้กฎหมายคาดเข็มขัดนิรภัย กำหนดให้ยานพาหนะมีเข็มขัดนิรภัยที่เหมาะสม และให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยของเข็มขัดนิรภัยแก่ผู้ใช้
ส่วนทัศนวิสัยการมองเห็นสำหรับผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ควรเปิดไฟหน้าไว้เวลากลางวัน สวมเสื้อผ้าและหมวกนิรภัยสีอ่อน และมีอุปกรณ์สะท้อนแสงที่ด้านหลังรถ
และเรื่องของผู้ขับขี่มือใหม่ ควรจำกัดการออกใบอนุญาตใบขับขี่ เช่นใช้ระบบใบขับขี่แบบเป็นลำดับขั้น และมีมาตรการลดแรงจูงใจหากละเมิดกฎหมาย เช่น ตัดคะแนนความประพฤติ