ประเทศไทยมีรถจักรยานยนต์มากถึง 20 กว่าล้านคัน มากเป็นอันดับ 3 ในทวีปเอเซีย เมื่อเทียบกับการสูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนนจากรถยนต์ รถบรรทุก จักรยาน และคนเดินเท้า พบว่าครึ่งหนึ่งของการสูญเสียเป็นรถจักรยายนต์
ส่วนสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ มีหลายปัจจัยทั้งเกิดจากรถที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจเกิดจากการไม่ได้ตรวจเช็ค หรือเกิดจากตัวบุคคลเองอย่างเช่น เรื่องสุขภาพโรคประจำตัว และโดยส่วนใหญ่การขับย้อนศรที่เกิดจากการตัดสินใจของผู้ขับเอง ที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุในขณะขับขี่ รวมถึงปัจจัยสิ่งแวดล้อมทั้งสภาพถนน ป้ายสัญญาณเตือนต่างๆ ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยทำให้เกิดอุบัติเหตุเช่นกัน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ต้องได้รับการแก้ไขรวมถึงการป้องกันต่อไป
เมื่อวันที่ 7-8 สิงหาคม ที่ผ่านมา ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ผนึกภาคี เปิดเวทีถกระดับชาติ เรื่องความปลอดภัยทางถนน ภายใต้หัวข้อ “เดิน ขี่ ขับ ไป-กลับ ปลอดภัย” ครั้งที่ 14 ขึ้น ณ ศุนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคบางนา
โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประธานเปิดงานกล่าวว่า ภาพรวมทุกประเทศทั่วโลก ผู้ใช้รถใช้จักรยานและจักรยานยนต์ รวมถึงคนเดินถนน เสียชีวิตเฉลี่ยร้อยละ 49 ซึ่งไทยมีสัดส่วนเสียชีวิตสูงกว่าทั่วโลกเกือบ 2 เท่า ถ้านับเฉพาะอัตราการเสียชีวิตในกลุ่มรถจักรยานยนต์ จะสูงถึงร้อยละ 24.3 ต่อประชากรแสนคน มากเป็นอันดับ 1 ของโลก รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาอุบัติเหตุทางถนน เนื่องจากแต่ละปีคนไทยกว่า 20,000 คนต้องเสียชีวิต และมีผู้พิการรายใหม่อีกกว่า 6,000 ราย ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมกว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี
ที่ผ่านมารัฐบาลได้ร่วมขับเคลื่อนการแก้ปัญหาตามแนวทาง 5 เสาหลักที่องค์การสหประชาชาติได้กำหนดไว้ใน "ทศวรรษความปลอดภัยทางถนน" พ.ศ. 2554-2563 (Decade of Action for Road Safety 2011-2020) อีกทั้งยังนำเรื่องความปลอดภัยทางถนนมากำหนดเป็นเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนปี 2573 ต่อไป
ด้าน นายแพทย์ ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการ ศวปถ. กล่าวว่า ข้อมูลสถานการณ์เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทยระหว่างปี 2554-2560 พบว่า ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีความเปราะบาง ได้แก่ ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ เสียชีวิตมากที่สุดถึง 46,656 คน คนเดินเท้า 5,375 คน และผู้ใช้รถจักรยานอีกกว่า 659 คน
สะท้อนให้เห็นว่า คนมีความเปราะบางและเสี่ยงต่อการบาดเจ็บเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน แต่ข้อเท็จจริงคือคนสามารถผิดพลาดได้ แต่ไม่ควรมีใครต้องบาดเจ็บจนนำไปสู่การเสียชีวิต ประเทศไทยต้องการระบบความปลอดภัย เพื่อป้องกันและลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น การจัดสัมมนาวิชาการระดับชาติเรื่องความปลอดภัยทางถนน ช่วยเปิดโอกาสให้คณะทำงานทั้งส่วนกลางและพื้นที่ ได้นำความรู้ แนวทาง และรูปแบบการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ไปเผยแพร่และปฏิบัติให้เหมาะสมกับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง
นอกจากนี้ สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย และสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย เผยข้อมูลอุบัติเหตุบนถนนเด็กไทยในปี 2560 พบเด็กและเยาวชนอายุ 15-19 ปี เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางถนน จำนวน 2,609 ราย เพิ่มขึ้นจาก 5 ปีที่แล้ว คิดเป็นร้อยละ 30 และเด็กที่มีอายุ 10-14 ปี เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางถนน จำนาน 727 ราย เพิ่มขึ้นจาก 5 ปีที่แล้ว คิดเป็นร้อยละ 38
จึงจัดทำข้อเสนอให้รัฐบาลบรรจุ "วาระเรื่องความปลอดภัยทางถนนของเด็กและเยาวชน" ไว้ในแผนงานของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงคมนาคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน ใน 3 ประเด็นหลัก คือ จัดให้มีทางเลือกในการเดินทาง จัดให้มีการเรียนรู้ความเสี่ยงและทักษะการขับขี่ตั้งแต่ปฐมวัย พร้อมจัดตั้งกลไกอนุกรรมการด้านความปลอดภัยของเด็กและเยาวชน ในศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนนส่วนกลางและทุกจังหวัด