กรมชลประทาน ชี้แจงกรณีการนำเสนอข่าวผ่านสื่อมวลชนความว่า “ชาวบ้านพิจิตร จวกรัฐบาลประยุทธ์ เทงบ 25 ล้าน สร้างแพสูบน้ำ สุดท้ายไร้ค่าใช้การไม่ได้ แพสูบน้ำหลุดลอยออกไปจากจุดที่ติดตั้งกว่า 6 กม. ชาวบ้านเห็นจึงดึงมามัดไว้ริมตลิ่ง แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่า ไม่ว่าจะเป็นจังหวัด หรือทางภาครัฐ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่สนใจ ชาวบ้านเสียดายงบประมาณ 25 ล้าน ฝากไปยังรัฐบาลชุดใหม่ สั่งให้หน่วยงานหรือจังหวัดออกมาแก้ไขตรวจสอบด้วย” นั้น
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน ได้ชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้นว่า สืบเนื่องจากปี 2559 จ.พิจิตร ได้ประสบปัญหาภัยแล้งอย่างหนัก จนส่งผลให้ปริมาณน้ำในบึงสีไฟ ซึ่งเป็นบึงน้ำจืดใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ เนื้อที่ 5,000 ไร่ มีสภาพแห้งขอด พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในขณะนั้น ได้อนุมัติเงินงบประมาณจำนวน 25 ล้านบาท ให้กรมชลประทาน โดยโครงการของชลประทานพิจิตร ดำเนินการก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าบ้านวังตาดี ต.ท่าหลวง อ.เมืองพิจิตร เพื่อสูบน้ำจากแม่น้ำน่านเข้าสู่บึงสีไฟ แล้วเสร็จและใช้งานได้ในปีเดียวกัน โดยมีจุดประสงค์หลัก เพื่อใช้สูบน้ำจากแม่น้ำน่านมาเติมให้กับบึงสีไฟ เฉพาะส่วนที่อยู่ในบริเวณสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ที่มีพื้นที่ประมาณ 125 ไร่เท่านั้น ไม่ใช่การเติมน้ำให้กับพื้นที่บึงสีไฟทั้งหมด
สำหรับกรณีที่แพสูบน้ำได้หลุดออกจากจุดที่ตั้งบริเวณริมแม่น้ำน่านนั้น โครงการชลประทานพิจิตรได้ลากจูงกลับมาไว้ที่เดิมแล้ว ตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย. 62 ที่ผ่านมา ปัจจุบันแพสูบน้ำดังกล่าว ยังตั้งอยู่ที่จุดเดิมและสามารถใช้งานได้ตามปกติ ทั้งนี้ ได้วางแผนปรับปรุงลวดสลิงที่ใช้ยึดแพสูบน้ำให้มีความแข็งแรงมั่นคงมากขึ้นในระยะต่อไป ส่วนกรณีที่ แพสูบน้ำไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มศักยภาพนั้น เนื่องจากทางเทศบาลเมืองพิจิตรแจ้งว่า ยังไม่พร้อมทางด้านงบประมาณค่ากระแสไฟฟ้า จึงไม่สามารถรับโอนภารกิจในการดูแลหรือบำรุงรักษาแพสูบน้ำได้ ปัจจุบันแพสูบน้ำดังกล่าว ยังคงอยู่ในความดูแลและบำรุงรักษาของโครงการชลประทานพิจิตร โดยที่ผ่านมาในช่วงวันที่ 21 - 26 พ.ค. 62 ได้สูบน้ำจากแม่น้ำน่าน มาเติมลงในบึงสีไฟเฉพาะบริเวณสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ส่งผลให้ระดับน้ำในบึงเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมประมาณ 20 เซนติเมตร คิดเป็นปริมาณน้ำที่สูบทั้งสิ้น ประมาณ 40,000 ลูกบาศก์เมตร ขณะนี้ได้หยุดสูบน้ำ เนื่องจากเริ่มมีฝนตกลงมาบ้างแล้วในพื้นที่