การกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 รศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวเสวนาในหัวข้อ โควิด-19 กลายพันธุ์มีความน่ากังวลแค่ไหน (SARS-CoV-2 Variants of Concern (VOC): What is the concern? ) ที่จัดขึ้นโดย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ ว่า ข้อมูลทางวิชาการจากต่างประเทศ พบว่า ขณะนี้สายพันธุ์ B.1.1.7 จากอังกฤษ ที่มีความสามารถในการแพร่กระจายได้ง่าย ล่าสุด พบกลายพันธุ์อีกรอบ โดยพบความคล้ายคลึงกับสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์ที่เจอในแอฟริกาใต้ ดังนั้นการป้องกันไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ในไทย คือ การตรวจคนเข้ามาในประเทศอย่างเข้มงวด การสวมหน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างทางสังคม ลดการระบาดในคน และการได้รับวัคซีน ที่อาจจะช่วยตัดวงจรไวรัสกลายพันธุ์ได้
ขณะเดียวกัน หลังจากประเทศไทย ได้แถลงพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ จากสายพันธุ์ B.1.351 ในแอฟริกาใต้ 1 คนซึ่ง เดินทางมาจากประเทศแทนซาเนีย(มีการรายงานรายละเอียดไปแล้ว) และในวันนี้ มีการรายงานพบอีก 2 คน เป็นไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ เช่นกัน เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ และขณะนี้ อยู่ระหว่างการรายงานเข้าในระบบ รวมแล้วพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์แอฟริกาใต้แล้ว 3 คน ดังนั้นต้องมีมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวดไม่ให้สายพันธุ์นี้กระจาย
ในปัจจุบันโควิด-19 มีการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ ด้วยปัจจัย เช่น ตัวไวรัส สิ่งมีชีวิต และการรักษา มีผลทำให้เกิดการติดเชื้อและการแพร่กระจายที่เร็วขึ้น และบางสายพันธุ์อาจจะลดประสิทธิภาพการใช้วัคซีนลง เช่น สายพันธุ์ B.1.351 เจอในแอฟริกาใต้ ที่มีการกลายพันธุ์ด้านนอกไวรัส แต่มีการเพิ่มตำแหน่งกลายพันธุ์ที่สำคัญคือ E484K ที่อาจจะทำให้ไวรัสมีการหนีภูมิคุ้มกันที่อาจจะเกิดจากวัคซีน เพราะฉะนั้นคนที่ได้รับวัคซีนในพื้นที่ที่มีการระบาดของไวรัสนี้อยู่อาจจะลดประสิทธิภาพการตอบสนองต่อวัคซีนในหลายตัว อย่างวัคซีนของ J&J, NANOVAX และ AstraZeneca/Oxford หรือ การป้องกันความรุนแรงของโรค ในส่วนสายพันธุ์ B.1.1.7 ที่พบในอังกฤษ ที่สามารถเกาะกับเซลล์ของมนุษย์ได้ดี ข้อมูลในห้องทดลองพบว่าจะสามารถแพร่กระจายได้ง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ปกติถึงร้อยละ 40-70 มีส่วนในการเพิ่มอัตราการเสียชีวิต และในสายพันธุ์ P.1 ที่พบในบราซิล ที่กำลังได้รับความสนใจไปทั่วโลก เพราะมีผลต่อการควบคุมและการตอบสนองต่อวัคซีน
แฟ้มภาพ