ไทยตั้งเป้าผลิตวัคซีนจากแอสตราเซเนกากว่า180 ล้านโดสต่อปี-ธ.ค.กำหนดกลุ่มผู้ได้รับวัคซีน

24 พฤศจิกายน 2563, 17:33น.


          การวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทแอสตราเซเนกา ที่ร่วมกับมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด ที่ประเทศไทยเข้าไปมีส่วนร่วมนั้น เมื่อวันที่ 23 พ.ย. มีการออกมาเผยแพร่ผลการทดลองในมนุษย์ระยะที่ 3 โดยภาพรวมมีประสิทธิผลในการป้องกันโรคได้เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 70 แต่เมื่อแยกตามลักษณะการให้วัคซีนซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ การฉีดเข็มแรกครึ่งโดส เข็มที่ 2 เต็มโดสพบว่ามีประสิทธิผลในการป้องกันโรคได้ประมาณร้อยละ 90 ส่วนการฉีดเข็มแรกเต็มโดส และเข็มที่ 2 เต็มโดส ประสิทธิภาพอยู่ที่ร้อยละ 70 ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลองในคนระยะ 3 ต่ออีกเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้น ระหว่างนี้บริษัทได้ส่งข้อมูลต่อองค์การอาหารและยาของสหราชอาณาจักร และยุโรป เพื่อทยอยประกอบการพิจารณาขึ้นทะเบียน



          นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยซึ่งมีความร่วมมือกันนั้นจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเข้ามาผลิตในประเทศไทย โดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ทราบว่าทั้ง 2 บริษัทมีการหารือกันอยู่แล้ว กำลังการผลิตประมาณ 180-200 ล้านโดสต่อปี สำหรับใช้ในประเทศไทยและอาเซียน ทั้งนี้หลังมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้วจะสามารถเดินสายการผลิตได้ภายใน 6 เดือนหรือราวๆ กลางปี 2564



          ซึ่งกรณีที่รัฐบาลอนุมัติงบประมาณ 3.7 พันล้านบาท เพื่อจองวัคซีนจากบริษัทดังกล่าว 26 ล้านโดส สำหรับคนไทย 13 ล้านคนนั้น ก็อยู่ในล็อตที่บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ผลิต ไม่ใช่การจองซื้อวัคซีนสำเร็จนำเข้ามา จากแอสตราเซเนกาโดยตรง เพราะจะมีเรื่องการขนส่งที่ต้องใช้เวลา ในขณะที่วัคซีนจะมีอายุการใช้งานอยู่ แล้วถ้าซื้อมาเยอะใช้ไม่ทันก็จะทำให้กระทบกับคุณภาพวัคซีนได้  



          ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาการอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า เมื่อมีวัคซีนเข้ามาแล้วกรมควบคุมโรคจะมีคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ โดยอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนพิจารณาว่าจะให้วัคซีนกับใคร ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือ คาดว่า น่าจะได้ข้อสรุปเรื่องนี้ประมาณเดือน ธ.ค. แต่โดยหลักการจะมีการพิจารณาหลายๆ ปัจจัย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการฉีดวัคซีน เช่น



1. ฉีดวัคซีนป้องกันการเสียชีวิตในกลุ่มเสี่ยง



2.ฉีดในกลุ่มที่มีโอกาสในการแพร่เชื้อสูง เพื่อป้องกันการระบาดของโรค



3.ฉีดในกลุ่มบุคลากรสาธารณสุขเพื่อสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุข เพราะถ้าคนกลุ่มนี้เกิดการติดเชื้อฯ หรือป่วย แล้วใครจะมารักษาโรคต่อ



          รวมถึงต้องมีการทำความเข้าใจกับประชาชน และสำรวจความคิดเห็นจากประชาชนร่วมด้วย ทั้งนี้หลังได้รับวัคซีนแล้วจะต้องมีการติดตามต่อเนื่องไปอย่างน้อย 4 สัปดาห์ หรือ 1 เดือนเพื่อดูผลกระทบจากวัคซีนด้วย



          อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีวัคซีนแล้ว แน่นอนว่าทั่วโลกไม่มีทางได้รับพร้อมกันทุกคน ดังนั้นการสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า จึงเป็นวัคซีนที่ดีที่สุดในการป้องกันตัวเอง รวมถึงมาตรการกักตัวผู้เดินทางมาจากต่างประเทศยังเป็นเรื่องที่จำเป็น



แฟ้มภาพ

ข่าวทั้งหมด

X