ภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันนี้ สื่อต่างประเทศได้ตั้งคำถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการที่กลุ่มผู้ประท้วงที่เป็นนักเรียน นักศึกษา ระบุว่า นายกรัฐมนตรีไม่เคยรับฟังข้อเรียกร้องต่างๆ ซึ่งรวมถึงข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน
นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ขอให้เข้าใจว่าสถาบันมีความสำคัญมาอย่างยาวนาน ทั้งกล่าวว่า ตนไม่เคยไปก้าวล่วงในเรื่องของประเทศอื่น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่ต่อต้านประเทศอื่น
ส่วนการปฏิรูปประเทศ รัฐบาลมียุทธศาสตร์ในการทำงาน และที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีรับฟังความคิดเห็นของเด็กและเยาวชนมาตลอด แม้ว่าจะไม่ได้ไปสถานที่ชุมนุมแต่ก็ได้รับทราบข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงติดตามสื่อออนไลน์ หลังจากนี้จะต้องหาวิธีปฏิบัติที่เหมาะสม ทำอย่างไรไม่ให้สถานการณ์บานปลาย แต่อยากให้เข้าใจว่า การชุมนุมทุกครั้งล้วนมีจุดมุ่งหมายทั้งด้านดีและไม่ดี การชุมนุมในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาได้สร้างความเสียหายกับประเทศชาติบ้านเมือง จึงอยากให้มองว่าตนเคยทำอะไรที่ให้ประเทศชาติหยุดชะงักบ้างหรือไม่ ตนเองไม่เคยทุจริตกับบ้านเมือง และรู้ข้อเรียกร้องทุกอย่างของนักศึกษา แต่ขอเพียงอย่างเดียว ไม่อยากให้แตะต้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนเคารพนับถือ ประเทศไทยมี 67 ล้านคนและประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้เห็นด้วยกับการชุมนุมในครั้งนี้ แต่ยืนยันว่าไม่ได้ขัดขวางการชุมนุม อะไรที่เรียกร้องแล้วดำเนินการให้ได้ก็ยินดี แต่หากเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ด้วย วันนี้จะอ้างว่านักเรียนทั้งหมดนักศึกษาทั้งหมดไม่ได้เพราะเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
วันนี้ขอให้เคารพอัตลักษณ์ของประเทศที่ประกอบด้วย ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ที่อยู่คู่กับประเทศมาหลายร้อยปี ทุกประเทศล้วนมีความแตกต่าง วันนี้อาจจะมีความไม่เข้าใจ มีความต้องการมากขึ้นก็ต้องดูว่าทำได้หรือไม่ อย่างข้อเรียกร้องยกเลิกพิธีไหว้ครูซึ่งเปรียบเสมือนครูเป็นพ่อแม่ นักเรียนคือลูกเมื่อทะเลาะกับลูก ขอตัดขาดจากพ่อแม่จะทำได้หรือไม่ ประเทศชาติจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า บางข้อเรียกร้อง เช่น ทุกคนจบมาต้องมีงานทำ เงินเดือน เดือนละ 50,000 บาทมีที่ไหนทำได้, ต้องผ่อนรถให้ทุกคน, ให้เก็บภาษีเฉพาะคนรวย สิ่งเหล่านี้ในข้อเท็จจริงมีความเป็นไปได้หรือไม่ ฝากไปยังสถานศึกษา ครูอาจารย์ รวมถึงนักการเมืองที่อาจจะมีความคิดต่างออกไป ตนเคารพความเห็นต่างอยู่แล้ว และที่ผ่านมาไม่ว่าตนเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยไหนก็ตาม ก็จะใช้อำนาจให้น้อยที่สุด วันนี้ใช้อำนาจเฉพาะในกรอบของการบริหารในสถานการณ์ปกติทั้งสิ้น นี่คือสิทธิเสรีภาพที่ทุกคนต้องยอมรับ แต่การก้าวล่วงคนอื่นเหมาะสมหรือไม่ สังคมไทยต้องไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง แล้ววันนี้จะเห็นว่าโลกเปลี่ยนแปลงไปเยอะ พ่อแม่ผู้ปกครองไม่มีเวลาดูแลลูก เพราะต้องไปสู้เรื่องเศรษฐกิจ ความใกล้ชิดก็ห่างไปทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวัย จึงต้องดูว่ามีคนมาฉวยโอกาสตรงนี้หรือไม่ สื่อก็ต้องช่วยประเทศไม่ต้องช่วยตน
....