ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 12.30 น. วันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2563

01 กรกฎาคม 2563, 12:55น.


แพทย์จุฬาฯ ย้ำระวังการติดเชื้อโควิด-19 ในกลุ่มเด็ก อาจทำให้เสียชีวิตได้   



          เด็กที่ติดโรคโควิด-19:รุนแรงและเสียชีวิตได้ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์  คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ระบุว่า New England Journal of Medicine เพิ่งตีพิมพ์รายงานเกี่ยวกับการติดเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 ในเด็กและเยาวชนในประเทศสหรัฐฯ ช่วงมี.ค.ถึงพ.ค.แล้วเกิดภาวะอักเสบในหลายอวัยวะ หากใครติดตามข่าวจะพบว่า ค่อนข้างน่ากลัว เพราะเดิมเชื่อกันว่าเด็กติดโควิด-19 ยาก และติดแล้วไม่รุนแรง ปรากฏว่าเหตุการณ์นี้ทำให้ทราบกันว่า เด็กๆ ที่ติดเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 มีอาการรุนแรงได้เช่นกัน และต้องระวังอย่างยิ่ง



          Feldsteing LR และคณะ ได้ทำการสำรวจและรวบรวมข้อมูลพบว่า ตั้งแต่ 15 มี.ค.ถึง 20 พ.ค. สหรัฐฯมีเด็กที่ติดเชื้อและมีอาการอักเสบในหลายอวัยวะ จำนวนทั้งสิ้น 186 คน จาก 26 รัฐ  อายุโดยเฉลี่ย 8.3 ปี และเป็นเพศชายร้อยละ 62  เด็กๆ ส่วนใหญ่ ร้อยละ 73 เคยมีสุขภาพแข็งแรงมาก่อนร้อยละ 92 มีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ร้อยละ 80 มีอาการเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด ร้อยละ 76 มีอาการเกี่ยวกับระบบเลือด และมีระบบอื่นๆ เช่น ผิวหนัง ทางเดินหายใจ อีกด้วย  ทั้งนี้ ร้อยละ  80 ต้องเข้ารับการดูแลรักษาที่ห้องผู้ป่วยหนัก ครึ่งหนึ่งของเด็กๆ ต้องใช้ยาช่วยเพิ่มความดันโลหิต หนึ่งในห้าของเด็กๆ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เสียชีวิตไป 4 ราย คิดเป็นร้อยละ 2 ของจำนวนผู้ป่วยเด็กทั้งหมด ที่น่าสนใจ คือ พบว่ามีเด็กถึง 15 คน หรือร้อยละ 8 ที่มีเส้นเลือดแดงที่หัวใจโป่งพอง และเด็ก 74 คน หรือร้อยละ 40 มีอาการคล้ายโรค Kawasaki โดยเฉลี่ยแล้วเด็กๆ ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลราว 7 วัน  ข้อมูลดังกล่าวนี้ตอกย้ำให้เราต้องช่วยกันป้องกันเด็กๆ ไม่ให้ติดเชื้อไวรัสโรคโควิด-19



กรมปศุสัตว์ ย้ำ หมูไทยปลอดภัย ไม่มีเชื้อ G4 พบเฉพาะในจีน



         นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยถึง กรณีที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบร่องรอยการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในจีน ที่ระบุว่าเป็นไข้หวัดหมู มีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า G4 EA H1N1 ว่า จากการตรวจเชื้ออย่างต่อเนื่องในประเทศไทยยังไม่เคยพบเชื้อดังกล่าวในหมูไทย การผลิตเนื้อสัตว์ของไทยได้มาตรฐานสากลและมีความปลอดภัยในอาหารระดับสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและปัจจุบันไทยยังถือเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่สามารถป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ ASF ขอให้คนไทยอย่าตื่นตระหนกกับข่าวดังกล่าว



"หมอยง"เตือนอย่าตื่นตระหนก ยังไม่แพร่ระบาดในคน



          ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และที่ปรึกษาศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ไข้หวัดใหญ่หมูสายพันธุ์ใหม่ที่เป็นข่าว “G4EAH1N1” เป็นข่าวที่ตื่นตระหนก ในความจริงที่ยังไม่เกิด ข่าวที่เกิดขึ้นเป็นเพียงทางการจีน เสนอผลงานทางวิชาการในวารสารที่มีชื่อเสียง PNAS และเป็นงานวิจัยที่ทำมายาวนาน และศึกษาแบบลึกซึ้ง เราอยากเห็นงานวิจัยแบบนี้ในบ้านเรา



         สรุป คือว่า G4EAH1N1 สายพันธุ์นี้พบในหมูที่ประเทศจีน ในระยะหลังจนถึงปี 2018 และจากการทดลองภูมิต้านทานที่ฉีดวัคซีนประจำฤดูกาลในคน ไม่สามารถป้องกันไวรัสสายพันธุ์นี้ได้ และไวรัสสายพันธุ์นี้ทำให้เกิดโรคในสัตว์ทดลอง มีอาการมากกว่าสายพันธุ์อื่นและสามารถติดต่อได้ทั้งสัมผัสโดยตรงและทางฝอยละออง เหตุการณ์ทั้งหมดยังอยู่ในหมู ยังไม่เคยพบติดในคน และยังไม่มีการแพร่ระบาดในคน



         ศ.นพ.ยง ระบุว่า ขออธิบายให้เข้าใจเป็นสเต็ป หมูเป็นสัตว์ที่พบไข้หวัดใหญ่อยู่แล้ว และมักจะไม่มีอาการ หมูจะเป็นตัวกลางที่ผสมให้เกิดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่และเข้าสู่มนุษย์ได้ เมื่อเข้าสู่มนุษย์ ถ้าเป็นสายพันธุ์ใหม่ ทุกคนยังไม่เคยเป็น ไม่มีภูมิต้านทาน ก็จะระบาดใหญ่ทั่วโลกได้ ไข้หวัดใหญ่ G4EAH1N1 เป็นสายพันธุ์ลูกผสมที่พบในหมูประเทศจีน ชิ้นส่วนพันธุกรรมของไข้หวัดใหญ่จะมีทั้งหมด 8 ชิ้น จึงมีการแลกเปลี่ยนกันได้ G4 คือ genotype ที่ 4 EA คือ Eurasian avian และ H1N1 จึงเรียกเป็น G4EAH1N1 เป็นการผสมผสานของไวรัสไข้หวัดใหญ่ในหมูในนกและในคน เข้าเกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ คล้ายกับครั้งหนึ่งที่เคยมีจุดเริ่มต้นที่เม็กซิโก แล้วระบาดใหญ่ทั่วโลกเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ยังไม่เกิด เป็นเพียงการศึกษาไข้หวัดใหญ่ในหมู ในประเทศจีนตั้งแต่ปี 2011 ถึง 2018



CR:facebook ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ



หญิงจีนจากสหรัฐฯ ติดเชื้อไม่มีอาการ สามารถแพร่เชื้อให้อีก 71 คน 

          ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค (ซีดีซี ) เผยแพร่ข้อมูลที่ระบุว่า ผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินทางจากสหรัฐฯกลับบ้านที่มณฑลเฮยหลงเจียง ในจีน พาเชื้อ SARS-CoV-2 หรือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 เข้าไปด้วยโดยไม่มีอาการ และไม่รู้ตัว และเป็นจุดเริ่มต้นของการแพร่กระจายเชื้อต่ออีกอย่างน้อย 71 คน เริ่มจากการใช้ลิฟท์



         ผู้หญิงคนนี้ เดินทางถึงบ้านเมื่อวันที่ 19 มี.ค. หนึ่งสัปดาห์หลังจากพบผู้ติดเชื้อไวรัสคนสุดท้ายในมณฑลดังกล่าว โดยที่ไม่มีอาการป่วยและผลตรวจเชื้อไวรัสออกมาเป็นลบ แต่ได้รับการร้องขอให้กักตัวในห้องพัก แต่ในช่วงที่ไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อได้ใช้ลิฟต์ในการขึ้นที่พักอาศัย แพร่เชื้อไปยังคนที่พักในอาคารที่มาใช้ลิฟต์ติดเชื้อจากการสัมผัสพื้นผิวในลิฟต์แม้ไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดและใช้ลิฟต์คนละเวลาก็ตาม กลุ่มคนที่ติดเชื้อ ประกอบด้วย



-ครอบครัวของคนที่มาใช้ลิฟท์  แม่ ลูกสาว และแฟนลูกสาว



-ครอบครัวนี้ไปงานกินเลี้ยงและแพร่ต่อให้กับชาย 1 คน ที่ไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อ จนไม่สบายมีอาการหลอดเลือดทางสมอง และเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและพบว่าติดเชื้อโรคโควิด -19



-ชายที่ป่วย แพร่เชื้อให้ลูกชาย 2 คนที่ไปเฝ้าไข้



-ลูกชาย 2 คน แพร่เชื้อต่อให้กับผู้อื่นอีก 28 คนที่โรงพยาบาลแรก และแพร่ให้อีก 20 คนเมื่อพ่อย้ายไปโรงพยาบาลที่สอง



         จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ติดเชื้อในกลุ่มก้อนนี้รวม 71 คน ผลศึกษาระบุว่า ผู้ติดเชื้อ SARS-CoV-2 ไม่มีอาการเพียงรายเดียว สามารถแพร่เชื้ออย่างกว้างในชุมชนได้อย่างไร ทั้งยังย้ำให้เห็นว่าการสอบสวนโรคต้องใช้ทรัพยากรมากแค่ไหน ตลอดจนความท้าทายมากมายในการสกัดกั้นการแพร่ระบาด



          ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของจีน สอบสวนลักษณะทางพันธุกรรมของไวรัส จากเหตุระบาดครั้งใหม่ในมณฑลเฮยหลงเจียง ก็พบว่าเป็นคนละสายพันธุ์กับที่ระบาดในจีน และไวรัสโคโรนาที่ระบาดในกลุ่มใหม่มีความเหมือนหรือคล้ายกันมาก จึงทำให้เชื่อว่าเป็นไวรัสที่มีต้นทางจากต่างประเทศ



 

ข่าวทั้งหมด

X