ฝนถล่มหนัก
ตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 29 มิ.ย. ในพื้นที่ จ.ระยอง เกิดฝนตกหนักหลายแห่ง ทำให้มี
CR:Facebook ระยอง Rayong
ตร.กว่า 3,000 นาย พร้อมรับมือเปิดเทอม
พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ดูแลงานด้านจราจร) กล่าวถึง มาตรการเตรียมความพร้อมด้านการจราจรในวันเปิดภาคเรียน วันที่ 1 ก.ค. ว่า บช.น. ระดมกำลังรวมกว่า 3,000 นาย ลงพื้นที่โดยเฉพาะด้านหน้าโรงเรียนเพื่ออำนวยความสะดวกและเร่งระบายรถที่เดินทางมาส่งนักเรียนให้เกิดความคล่องตัวที่สุดซึ่งในช่วงสถานการณ์การเฝ้าระวังการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้โรงเรียนต้องวางมาตรการในการคัดกรองนักเรียน ตำรวจได้แนะนำให้ทุกสถานศึกษาจัดจุดคัดกรองให้อยู่ภายในบริเวณโรงเรียน เนื่องจาก หากวางจุดคัดกรองบริเวณด้านหน้าประตูจะทำให้เกิดปริมาณนักเรียนและรถยนต์สะสม จนเกรงว่าจะเกิดปัญหาการจราจรติดขัดและทำให้นักเรียนเข้าเรียนไม่ทัน
สธ.และ ศธ. ใช้ แอปฯ "ฮีโร่" ช่วยปรับพฤติกรรมเด็ก
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ล่าสุดได้มีการพัฒนาแอปพลิเคชั่น HERO (ฮีโร่) หรือ Health and Education Reintegrating Operation เพื่อให้การช่วยเหลือเด็กนักเรียนหลังเปิดเทอม 1 ก.ค. เพราะการที่เด็กต้องเก็บตัวอยู่บ้านก่อนหน้านี้ เมื่อกลับเข้าโรงเรียนอาจจะมีปัญหาเรื่องการปรับตัวกับเพื่อนใหม่ที่อาจจะทำให้เกิดความเครียดได้ โดยรูปแบบคือการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการในการเฝ้าระวังสังเกตอารมณ์ พฤติกรรม และสังคมของเด็กๆ โดยมีแบบประเมิน 9S หรือตอบคำถาม 9 ข้อเพื่อค้นหาปัญหาเด็กซน ใจลอย รอคอยไม่เป็น เศร้า ท้อแท้ เบื่อหน่าย เป็นต้น เมื่อพบปัญหาก็ให้คำปรึกษา แนะนำ และปรับพฤติกรรมเด็ก หากเกินศักยภาพก็ให้มีการส่งต่อมาที่สถานพยาบาลผ่านแอปฯดังกล่าว และส่งต่อให้จิตแพทย์ เพื่อให้เด็กได้รับการดูแลทันที
ศบค.ปลดล็อกให้นั่ง-ยืน ติดกันได้ในรถไฟฟ้า-รถไฟ
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง(ขร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19)หรือ ศบค. มีมติเห็นชอบให้ยกเว้นการเว้นที่นั่ง และการเว้นระยะห่างการยืนภายในขบวนรถในระบบขนส่งทางรางที่ให้บริการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. แต่ต้องปฏิบัติตามกำหนดดังนี้
1.ด้านการป้องกัน เช่น การสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ระหว่างเดินทาง และงดพูดคุยขณะอยู่ภายในขบวนรถ100%
2.ด้านการคัดกรอง ต้องตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของผู้โดยสารก่อนใช้บริการ ต้องไม่เกิน37.5องศาเซลเซียส 3.ด้านการควบคุม เช่น ควบคุมความหนาแน่นของผู้โดยสารไม่เกิน 70%ของความจุสูงสุด หรือประมาณ185คน/ตู้ขบวน ควบคุมให้ยืนหันหน้าไปในทางเดียวกัน และควบคุมดูแลการลงทะเบียนในแพลตฟอร์ม“ไทยชนะ”เพื่อความสะดวกรวดเร็วกรณีต้องมีการสอบสวนโรค
4.ด้านการดูแล โดยเข้มงวดการทำความสะอาดบริเวณจุดสัมผัสต่าง ๆ มีการฆ่าเชื้อโรคภายในสถานี ขบวนรถ และระบบปรับอากาศอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งฆ่าเชื้อโรคทุกครั้งเมื่อเดินทางถึงสถานีปลายทาง ดูแลระบบปรับอากาศและระบบระบายอากาศให้ปลอดเชื้อ
ปัจจุบันมีผู้โดยสารมาใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะทางรางแล้วประมาณ 820,000 คนต่อวัน คาดว่าในวันที่1ก.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดภาคเรียน จะมีผู้ใช้บริการทะลุ1,000,000 คนต่อวัน
ด้านนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.รฟท. ประกาศเปิดเดินขบวนรถโดยสารทางไกล ขบวนรถนำเที่ยววันหยุด และขบวนรถพิเศษโดยสารวันหยุดเพิ่มเติมอีก 40 ขบวน เพื่อให้สอดคล้องตามมาตรการผ่อนคลายการเดินทาง ระยะที่ 4 ของรัฐบาล และอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้ประชาชนที่จำเป็นต้องเดินทางโดยรถไฟ คาดว่า จะเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ในส่วนของขบวนรถนำเที่ยววันหยุด และขบวนรถพิเศษโดยสารวันหยุด จะเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค. จำนวน 6 ขบวน (ไป-กลับ)
ก.ท่องเที่ยวฯ ให้ต่างชาติเที่ยวเกาะ 3 จังหวัด
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ประเทศไทยจะสามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวทั่วไปให้เริ่มเข้ามาได้ตั้งแต่เดือน ส.ค. ถือว่าเร็วกว่ากำหนดการเดิมที่คาดไว้ ประมาณเดือน ก.ย.-ต.ค.หลังจากที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัญญาณกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ให้เตรียมความพร้อมในการเปิดรับนักท่องเที่ยวอีกครั้งในเดือนส.ค. กระทรวงฯ ได้คุยกับผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และผู้ประกอบการท่องเที่ยวแล้ว ในการเตรียมความพร้อมเป็น 1 ใน 3 จังหวัดนำร่อง ซึ่งจังหวัดที่พร้อมจะต้อนรับนักท่องเที่ยวก่อนมี 3 จังหวัด รวม 5 จุดหมาย ได้แก่ เกาะภูเก็ต เกาะพีพี ใน จ.กระบี่ เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า ใน จ.สุราษฎร์ธานี ส่วนเกณฑ์ในการเปิดรับอยู่ระหว่างการหารือกับกระทรวงสาธารณสุข แต่หลักการที่แน่ชัดแล้วคือ จะจัดสรรโควตาจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไปในแต่ละพื้นที่ โดยคำนวณจากความสามารถในด้านการตรวจหาเชื้อโควิด-19 และศักยภาพด้านสาธารณสุขเป็นหลัก
กพท.ออกประกาศเงื่อนไขอนุญาตให้อากาศยานบินเข้า-ออก
นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(กทพ.) ออกประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. เรื่อง เงื่อนไขในการอนุญาตให้อากาศยานทำการบินเข้าออกประเทศไทยว่าปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ยังคงมีความรุนแรงในต่างประเทศ จึงจำเป็นต้องกำหนดมาตรการจำกัดการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.เวลา 00.01 น. เพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถในการจัดการคัดกรองของพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามมาตรการป้องกันโรค และเพื่อการควบคุมและป้องกันมิให้เกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 27 และมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ.2497 ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยจึงออกประกาศกำหนดเงื่อนไขในการอนุญาตให้ อากาศยาน บินผ่าน บินเข้าหรือออกนอกราชอาณาจักร หรือขึ้นลงในราชอาณาจักร
ข้อ 1.อากาศยานดังต่อไปนี้สามารถทำการบินผ่าน บินเข้าออกนอกราชอาณาจักร หรือขึ้นลง ในท่าอากาศยานที่ให้บริการการบินระหว่างประเทศได้ เมื่อได้รับการอนุญาตการบินจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
(1) อากาศยานราชการหรือที่ใช้ในราชการทหาร (State or Military aircraft)
(2) อากาศยานที่ขอลงฉุกเฉิน (Emergency landing)
(3) อากาศยานที่ขอลงทางเทคนิค (Technical landing) โดยไม่มีผู้โดยสารออกจาก
เครื่อง
(4) อากาศยานที่ทำการบินเพื่อให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ทำการบินทางการแพทย์ หรือการขนส่งสิ่งของเพื่อสงเคราะห์แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด –19 (Humanitarian aid, medical and relief flights)
(5) อากาศยานที่ได้รับอนุญาตให้ทำการบินรับส่งบุคคลกลับประเทศไทยหรือกลับภูมิลำเนา (Repatriation)
(6) อากาศยานขนส่งสินค้า (Cargo aircraft)
ข้อ 2 .อากาศยานขนส่งคนโดยสารที่จะทำการบินผ่าน บินเข้าออกนอกราชอาณาจักร หรือขึ้นลงในท่าอากาศยานในราชอาณาจักรที่ให้บริการการบินระหว่างประเทศ จะได้รับอนุญาตการบินจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยเฉพาะเมื่อผู้โดยสารหรือผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรนั้นเป็นบุคคล ประเภทใดประเภทหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1) ผู้มีสัญชาติไทย
(2) ผู้มีเหตุยกเว้นหรือเป็นกรณีที่นายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินกำหนด อนุญาต หรือเชิญให้เข้ามาในราชอาณาจักรได้ตามความจำเป็น โดยอาจกำหนดเงื่อนไขและเงื่อนเวลาก็ได้
(3) ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งเป็นคู่สมรส บิดามารดา หรือบุตรของผู้มีสัญชาติไทย
(4) ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรหรือได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
(5) ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งมีใบอนุญาตทำงานหรือได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามกฎหมาย ตลอดจนคู่สมรสหรือบุตรของบุคคลดังกล่าว
(6) ผู้ขนส่งสินค้าตามความจำเป็น แต่เมื่อเสร็จภารกิจแล้วให้กลับออกไปโดยเร็ว
(7) ผู้ควบคุมยานพาหนะหรือเจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะซึ่งจำเป็นต้องเดินทางเข้ามา ตามภารกิจและมีกำหนดเวลาเดินทางออกนอกราชอาณาจักรชัดเจน
(8) ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งเป็นนักเรียนหรือนักศึกษาของสถานศึกษาในประเทศไทย ที่ทางการไทยรับรอง ตลอดจนบิดามารดาหรือผู้ปกครองของบุคคลดังกล่าว
(9) ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งมีความจำเป็นต้องเข้ามารับการตรวจรักษาพยาบาลในประเทศไทยและผู้ติดตามของบุคคลดังกล่าว แต่ต้องไม่เป็นกรณีเข้ามาเพื่อการรักษาพยาบาลโรคโควิด –19
(10) บุคคลในคณะทูต คณะกงสุล องค์การระหว่างประเทศ หรือผู้แทนรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐต่างประเทศซึ่งมาปฏิบัติงานในประเทศไทย หรือบุคคลในหน่วยงานระหว่างประเทศอื่น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ อนุญาตตามความจำเป็น ตลอดจนคู่สมรส บิดามารดา หรือบุตรของบุคคลดังกล่าว
(11) ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรตามข้อตกลงพิเศษ (special arrangement) กับต่างประเทศ
ข้อ 3. อากาศยานและผู้โดยสารหรือผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรตามข้อ 2 จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข เงื่อนเวลาและหลักเกณฑ์ของผู้มีอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศและกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีผลบังคับใช้ อยู่ เพื่อป้องกันโรคและจัดระเบียบจำนวนบุคคลที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรให้สอดคล้องกับการคัดกรองและการจัดสถานที่ไว้กักกัน (quarantine)