ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 19.30 น.วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563
หุ้นไทยปรับฐานลดลง 30.29 จุด
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET Index) เปิดตลาดภาคบ่ายปรับตัวลดลงอย่างหนัก แตะระดับต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,400.87 จุด ลดลง 37.79 จุด ก่อนมาปิดตลาดที่ 1,408.37 จุด ลดลง 30.29 จุด หรือร้อยละ 2.11 มูลค่าการซื้อขาย 115,559.90 ล้านบาท
ขณะที่ บล.ฟิลลิป ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) มองว่า ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ช่วงพักฐาน หลังปรับตัวขึ้นมามาก ซึ่งการปรับลดลงของดัชนีครั้งนี้ เป็นผลจากปัจจัยภายในประเทศที่เริ่มมีความไม่แน่นอนของการเมือง ประกอบกับเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ (Fund Flow)ไม่มีความต่อเนื่อง
ด้านบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า การปรับตัวขึ้นมาของ SET Index นับจากจุดต่ำสุดที่ 969.08 จุด เมื่อ 13 มี.ค.63 ถึงปัจจุบันถือว่าปรับขึ้นมาแล้ว ร้อยละ 48.5 มาที่ 1,438.66 จุด ซึ่งเป็นการปรับตัวบนความคาดหวังเรื่องการฟื้นตัวเศรษฐกิจในระยะยาว และการมองข้ามปัญหาเศรษฐกิจรวมถึงผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในช่วงที่เหลือของปีนี้ บวกกับมูลค่าซื้อขายใน 3 วันทำการที่ผ่านมา สูงเกินกว่า 100,000ล้านบาทต่อวัน แสดงให้เห็นว่าตลาดอยู่ในภาวะการเก็งกำไรอย่างเห็นได้ชัด
ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียวปิดปรับตัวลงในวันนี้ หลังบวกขึ้นติดต่อกัน 6 วัน โดยหุ้นกลุ่มส่งออกถูกกดดันจากการที่เงินเยนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ดัชนีนิกเกอิปิดลบ 87.07 จุด ที่ 23,091.03 จุด
ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดวันนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขานรับมุมมองบวกที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะฟื้นตัวหลังจากทั้ง 50 รัฐของสหรัฐฯได้มีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 9-10 มิ.ย.นี้ดัชนีฮั่งเส็งเพิ่มขึ้น 280.45 จุด ปิดวันนี้ที่ 25,057.22 จุด
สธ. มีมติตรวจผู้ป่วยโควิด-19 เฉพาะกลุ่มเสี่ยง
หลังกระทรวงสาธารณสุข ออกคำสั่งโรงพยาบาลในสังกัด สธ.ทุกแห่งตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในผู้ป่วยทุกรายที่นอนรักษาใน รพ. (Admit) ล่าสุด นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานที่ประชุมเพื่อพิจารณาทบทวนเรื่องการตรวจเชื้อโควิด-19 จากเดิมสั่งการให้ตรวจผู้ป่วยแอดมิท ทุกรายนั้น ล่าสุด ปลัดสธ. ได้สั่งให้กลับมาใช้แนวทางเดิมที่กรมการแพทย์ร่วมกับโรงเรียนแพทย์จัดทำคือ การคัดกรอง สอบถามผู้ป่วยที่มายังรพ. หากพบความเสี่ยง จึงจะทำการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ต่อไป ส่วนกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินหากมีญาติมาก็คัดกรองจากญาติ ถ้าไม่มีสติ ให้นำเข้าสู่ห้องแยกโรคเลย ก่อนตรวจ
สำหรับการตรวจหาผู้ป่วยโควิด-19 จากเดิมจะแบ่งเป็น 4 กลุ่ม 1. กลุ่มที่มีความเสี่ยงว่าเป็นโรค 2. คนต้องทำหัตถการแล้วแพทย์สงสัย 3. ผู้ป่วยหนักที่ต้องเข้าไอ.ซี.ยู. และ 4. การสุ่มตรวจเป็นระยะๆ
อธิบดีกรมอนามัยย้ำ ไม่ได้ห้ามกินป๊อบคอร์น แต่กินเสร็จต้องสวมหน้ากากอนามัย
ประเด็นการนำป๊อปคอร์น และเครื่องดื่มเข้าไปรับประทานในโรงภาพยนตร์ พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สธ.ไม่ได้มีการห้ามนำป๊อปคอร์นและเครื่องดื่มเข้าไปรับประทานในโรงภาพยนตร์ แต่มีคำแนะนำว่า หากอยู่ในพื้นที่ปิด ขอให้ประชาชนสวมหน้ากากป้องกันตัวเองให้ได้มากที่สุด โดยในโรงภาพยนตร์ เมื่อรับประทานป๊อปคอร์นและเครื่องดื่มเสร็จแล้วก็ขอให้สวมหน้ากากอนามัยไว้ตลอดเวลา
สำหรับมาตรการหลักในการดูแลด้านสุขอนามัยในกิจการโรงภาพยนตร์ ได้แก่
1.ควบคุมทางเข้าออกและลงทะเบียน
2.ผู้ให้บริการ/ผู้รับบริการใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย
3.ทำความสะอาดพื้นผิวและกำจัดขยะทุกวัน
4.จัดให้มีจุดล้างมือหรือเจลแอลกอฮอล์
5.ควบคุมจำนวนคน ลดความแออัด ลดเวลา
6.เว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 1 เมตร
เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ งดจัดงานแห่เทียนพรรษา ป้องกันโควิด-19 ระบาด
นายยุทธชัย พงศ์พณิช รองนายกเทศมนตรีเมืองบุรีรัมย์ กล่าวว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ได้ประกาศงดการจัดงานประเพณีแห่เทียนพรรษา ประจำปี 2563 ทั้งนี้ เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เนื่องจากงานประเพณีแห่เทียนพรรษาทุกปี จะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจจะเสี่ยงต่อการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ง่าย ที่ผ่านมาวัดหลายแห่งในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ และตำบลใกล้เคียง ทั้งพระภิกษุ สามเณร และช่างแกะสลักเทียน จะร่วมกันแกะสลักขบวนเทียนพรรษา ส่งเข้าร่วมประกวดงานประเพณี แห่เทียนพรรษาของเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ เป็นประจำทุกปี ซึ่งปีนี้ถือเป็นปีแรกที่งดจัดงานฮ่องกง กู้วิกฤตสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค มูลค่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
คาเธ่ย์ แปซิฟิค สายการบินชั้นนำของฮ่องกง ระบุในเอกสารที่ส่งถึงสำนักงานตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงว่า รัฐบาลฮ่องกง ตกลงจะช่วยกู้วิกฤตให้กับคาเธ่ย์ แปซิฟิค ในวงเงินมูลค่า 39,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
คาเธ่ย์ แปซิฟิค ให้คำมั่นว่าจะปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ปรับลดค่าใช้จ่าย เช่น ลดเงินเดือนของผู้บริหาร และหาวิธีการต่างๆเพื่อเพิ่มทุนให้มีสภาพคล่องทางการเงินมากพอที่จะช่วยให้บริษัทฟันฝ่าวิกฤตในปัจจุบันไปให้ได้
เมื่อช่วง2-3 เดือนก่อนหน้านี้ คาเธ่ย์ แปซิฟิค หยุดทำการบินในลักษณะขนส่งผู้โดยสาร แต่ยังทำการบินขนส่งสินค้า ขณะเดียวกันบริษัทได้ปรับลดเที่ยวบินไปยังจุดหมายปลายทางหลักๆเช่น กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน,นครลอสแอนเจลิส สหรัฐฯ,สิงคโปร์, นครซิดนีย์ ออสเตรเลีย,กรุงโตเกียว ญี่ปุ่นและเมืองแวนคูเวอร์ แคนาดา
เช่นเดียวกับ ฝรั่งเศส ได้เร่งตั้งงบช่วยเหลือวงเงิน 1.5 หมื่นล้านยูโร (1.69 หมื่นล้านดอลลาร์)ให้กับอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคอุตสาหกรรม ที่ได้รับผลกระทบหนักสุดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) วงเงินช่วยเหลือจะรวมถึงการจัดตั้งกองทุนซึ่งมีทุนเริ่มต้นที่ 500 ล้านยูโร และมีเป้าหมายที่จะเพิ่มเป็น 1,000ล้านยูโร เพื่อส่งเสริมการพัฒนาของซัพพลายเออร์ขนาดกลาง และอีก 300 ล้านยูโรจะนำไปช่วยเหลือในการปรับปรุงโรงงานผลิตเครื่องบินให้ทันสมัยนอกจากนั้นฝรั่งเศสจะลงทุน 1,500ล้านยูโรเป็นเวลา 3 ปี เพื่อสนับสนุนการวิจัยเทคโนโลยีการบินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยจะเริ่มลงทุน 300 ล้านยูโรในปีนี้
ตร.กองปราบ รวบพ่อลูก บุญช่วย-กิตติพงษ์ ผู้ต้องหาคดีฮุบที่ดินสงฆ์ จ.จันทบุรี
ตำรวจกองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม ควบคุมตัวนายบุญช่วย เจริญสถาพร อายุ 80 ปี และนายกิตติพงษ์ เจริญสถาพร อายุ 43 ปี บุตรชาย ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหา “เบิกความเท็จต่อศาล ,ให้การเท็จต่อเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ และร่วมกันยักยอกทรัพย์ มาสอบสวนที่กองบังคับการปราบปราบ หลังตกเป็นผู้ต้องหาคดีฮุบที่ดินธรณีสงฆ์ 3,800 ไร่ ของมูลนิธิอธิธรรมมหาธาตุ จ.จันทบุรี มาเป็นของตัวเอง
พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม กล่าวว่า เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งสองยังให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยมีรายงานจากชุดจับกุมว่าในการเข้าตรวจค้นบ้านพักขณะแสดงหมายจับเข้าจับกุมทั้งสองไม่พบเอกสารหลักฐานใดเกี่ยวกับการครอบครองที่ดิน แต่ในทางคดีผู้ต้องหาได้สร้างหลักฐานเท็จขึ้นมา โดยหลังจากมีการซื้อขายที่ดินดังกล่าวในปี 2515 แล้วทางมูลนิธิฯได้มอบหมายให้นายบุญช่วยเป็นผู้ดูแล ต่อมาในปี 2550 นายบุญช่วยได้สร้างหลักฐานเท็จขึ้นมา เปลี่ยนแปลงชื่อ เอกสารครอบครอง นส. 3 และขอออกโฉนด เป็นชื่อของตัวเองในปี 2553 ยอมรับว่าในการสร้างหลักฐานเท็จนั้นต้องมีคนร่วมกระทำผิดมากกว่า 2 คน แต่บางคดีก็หมดอายุความไปแล้ว แต่ไม่หนักใจ เพราะมีหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุจริง
กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2561 มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุ ได้ส่งตัวแทนเข้าพบพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ป. เพื่อแจ้งความเอาผิดนายบุญช่วย ซึ่งเป็นน้องชายของพระกิตติวุฑโฒภิกขุ อดีตประธานมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุ ยักยอกที่ดินในพื้นที่ ต.พลวง ต.ตะเคียนทอง อ.เขาคิชฌกูฏ และบางส่วนใน อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ของมูลนิธิฯจำนวน 3,800 ไร่ไปเป็นของตนเอง โดยมีการสวมสิทธิการครอบครองและนำไปออกโฉนดโดยมิชอบ ภายหลังรับเรื่องทางเจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีดังกล่าวจึงได้นำกำลังลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงจนพบว่า เดิมทีที่ดินผืนนี้เป็นที่ดิน ส.ป.ก. มีนายสมพล โกศลานันท์ เป็นผู้ครอบครอง กระทั่งประมาณปี 2513-2515 พระกิตติวุฑโฒ ได้ก่อตั้งมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุ พร้อมกับเปิดรับบริจาครวบรวมเงินของชาวบ้านมาเป็นทุนซื้อที่ดินผืนดังกล่าวจากนายสมพล เพื่อนำมาใช้ปฏิบัติกิจกรรมต่างๆของพระสงฆ์ ในราคา 12 ล้านบาท แต่จ่ายเงินไปเพียง 8,000,000บาท อีก 4,000,000บาทยังไม่ได้ชำระ แต่นายสมพล เห็นว่าจะนำที่ดินไปใช้ประโยชน์ทางศาสนาจึงมอบที่ดินให้ไปใช้ประโยชน์ก่อน
หลังจากได้ที่ดินมาแล้วพระกิตติวุฑโฒ ได้มอบหมายให้นายบุญช่วย น้องชายเป็นผู้ดูแลที่ดิน แต่เมื่อพระกิตติวุฑโฒ มรณภาพลงในปี 2548 นายบุญช่วยและบุตรชายกลับเริ่มวางแผนที่จะเข้าครอบครองที่ดินผืนดังกล่าว โดยในปี 2550 นายบุญช่วยได้ไปยื่นเรื่องฟ้องร้องนายเรวัฒิ โกศลานันท์ ลูกชายของนายสมพล ในฐานะเป็นผู้รับมรดกเพื่อให้โอนที่ดินดังกล่าวมาเป็นของตัวเอง โดยมีนายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความชื่อดังเป็นทีมทนายความ กระทั่งศาลจังหวัดจันทบุรีมีคำพิพากษาให้ทายาทของนายสมพล โอนที่ดินดังกล่าวไปเป็นชื่อของนายบุญช่วย ตามที่ร้องขอ
จากนั้นปี 2554-2555 นายบุญช่วยได้ไปยื่นขอเปลี่ยนที่ดิน ส.ป.ก.เป็นโฉนดที่ดินเพื่อทำให้มีมูลค่าสูงขึ้น ทำให้ น.ส.เขมจิรา บัณฑูรนิพิท และ พล.ต.ต.ธารินทร์ จันทราทิพย์ ซึ่งเป็นทายาทรุ่นหลานของนายสมพล จึงเริ่มพบเห็นความผิดปกติ และเกิดความไม่พอใจเพราะเห็นว่าที่ดินดังกล่าวไม่ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางศาสนาตามวัตถุประสงค์เดิม จึงเกิดการฟ้องร้องเป็นคดีความหลายคดี และทางฝ่ายทายาทแพ้คดีมาโดยตลอด
รวมถึงยังลุกลามบานปลายจนกลายเป็นมูลเหตุทำให้ พล.ต.ต.ธารินทร์ ตัดสินใจใช้อาวุธปืนกราดยิงใส่นายบัญชา,นางสุภาพร ภรรยานายบัญชา, นายวิชัย อุดมธนภัทร และนายวิจัย สุขรมย์ ทีมทนายความภายในศาลจังหวัดจันทบุรี ขณะกำลังรอพยานฝ่ายจำเลยและรอผู้พิพากษาขึ้นนั่งบัลลังก์นัดสืบพยานฝ่ายจำเลยนัดแรก เพื่อรับฟังการพิจารณาคดีการฟ้องร้องทางแพ่งปลีกย่อยเกี่ยวกับที่ดินผืนดังกล่าว จนเป็นเหตุให้นายบัญชา และนายวิจัย เสียชีวิต ส่วนนางสุภาพร และนายวิชัย ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ขณะที่ พล.ต.ต.ธารินทร์ หลังก่อเหตุได้ถูก นายธนากร ธีรวโรดม เสมียนทนายนำอาวุธปืนของ ร.ต.อ.ขจร บรรจง ตำรวจประจำศาลจังหวัดจันทบุรี ยิงใส่จนเสียชีวิตด้วยเช่นกัน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2562