ความเคลื่อนไหวเมืองไทย 08.00 น.วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม 2563
เริ่มวันนี้ รัฐบาลผ่อนปรนระยะที่ 2
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีการประชุมซักซ้อมการปฏิบัติเพื่อรองรับมาตรการผ่อนคลายระยะ 2 ย้ำให้ทุกจังหวัดต้องสร้างความร่วมมือประชาชนในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดตามมาตรฐานสาธารณสุขพื้นฐาน คือ ต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากทางเลือก ล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ไม่อยู่ในที่แออัด และลดการเคลื่อนที่ ถ้าทุกคน ทุกส่วนเกี่ยวข้องปฏิบัติกันอย่างเต็มที่ เราจะก้าวเข้าสู่ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) และใช้ชีวิตอย่างปกติสุขในเร็ววัน
เลขาสมช.ย้ำ ไม่ให้เครื่องบินพาณิชย์ บินเข้าประเทศไทย สกัดโรคระบาดซ้ำ
การยกเลิกจีนและเกาหลีใต้ออกจากเขตโรคติดต่ออันตรายว่า จะส่งผลต่อการควบคุมโรคในประเทศหรือไม่ ประชาชนกังวลว่าอาจจะกลายเป็นช่องโหว่ที่ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศ พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เปิดเผยว่า ยังคงป้องกันไม่ให้มีการแพร่เชื้อที่เกิดจากการนำเข้าจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ การอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศไทยจากทางอากาศ ก็ยังเป็นไปด้วยความลำบาก และยังไม่อนุญาตให้เครื่องบินพาณิชย์เข้ามา
ด้านนพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. กล่าวว่า ทั้งสองประเทศคือ จีน และ เกาหลีใต้ เป็นประเทศแรกๆที่ปรากฏเป็นข่าวในการที่เกิดการระบาด ผ่านมาหลายเดือนสถิติการเกิดโรคของเขาเป็นหลักหน่วยแล้ว และมีระบบควบคุมการระบาดได้อย่างดี เมื่อเทียบกับทั่วโลกที่ติดเชื้อสูงกว่านี้แต่กลับไม่ถูกประกาศให้เป็นเขตติดโรคอย่างสองประเทศ ดูไม่ยุติธรรม จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องคงค้างไว้เพราะว่าการระบาดของเขาก็ผ่านมาพอสมควรและระบบของเขาก็ดี นี่คือเหตุผลที่ต้องเอาออก
ส่วนเกรงว่าคนจีนเป็นนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่สุดจะเข้ามาจำนวนมากๆ หรือเปล่านั้น ไม่เกี่ยวกัน การเอาออกจากรายชื่อของโรคก็เป็นเรื่องหนึ่งแต่การกำกับติดตามป้องกันไม่ให้คนเข้าประเทศเป็นอีกเรื่อง
เพราะคนจะเข้าประเทศไทยได้จะต้องมีใบรับรองแพทย์ มีการตรวจเรื่อง Fit To Fly ต้องมีประกัน รวมถึงมาตรการกักตัวอีก 14 วัน
ด้านสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หรือ กพท.ออกประกาศ ฉบับที่ 5 ขยายเวลาห้ามเครื่องบินทุกชาติเข้าประเทศไทยตั้งแต่ 1-30 มิ.ย. 2563 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
ส่วนผลสำรวจพฤติกรรมการป้องกันตนเองในช่วงผ่อนปรนมาตรการระหว่างวันที่ 8-14 พ.ค. 2563 พบว่า ประชาชนมีพฤติกรรมการป้องกันตนเองลดลงในทุกพฤติกรรม เมื่อเทียบกับข้อมูลก่อนการผ่อนปรนมาตรการสัปดาห์สุดท้ายของเดือนเมษายน โดยพฤติกรรมป้องกันโดยรวมจากร้อยละ 77.6 ลดลงเหลือร้อยละ 72.5 สวมหน้ากากทุกครั้งร้อยละ 91.2 ลดลงเหลือร้อยละ 91 ล้างมือทุกครั้งจากร้อยละ 87.2 ลดเหลือร้อยละ 83.4 กินร้อน ช้อนกลางตนเองร้อยละ 86.1 ลดเหลือ ร้อยละ 82.3 ระวังไม่อยู่ใกล้คนอื่นในระยะน้อยกว่า 2 เมตร จากร้อยละ 65.3 เหลือร้อยละ 60.7 และไม่เอามือจับหน้า จมูก ปาก จาก ร้อยละ 62.9 เหลือร้อยละ 52.9
ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลไทยในการออกมาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมการแพร่เชื้อโควิด-19 พบว่า ร้อยละ 65 เชื่อมั่น ขณะที่ ร้อยละ21 ไม่แน่ใจ/ไม่ทราบ และ ร้อยละ 14ไม่เชื่อมั่น จากนั้น เตรียมนำผลที่ได้ไปพัฒนาแนวปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพในการลดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ให้มากขึ้น
การสำรวจครั้งนี้ จัดทำโดยสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานสถิติแห่งชาติ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้สำรวจการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระหว่างมาตรการผ่อนปรน ระหว่างวันที่ 8-14 พ.ค. 2563 จากผู้ตอบแบบสอบถาม 19,378 คน ผ่าน https://thaifightcovid19.com/
เริ่มโหลดไทยชนะ เช้านี้
การคลายล็อกในระยะที่ 2 น.พ.ทวีศิลป์ ย้ำเรื่องที่จะให้ผู้ให้บริการ ห้างร้านไปดาวน์โหลดแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” จากเว็บไซต์ www.ไทยชนะ.com ตั้งแต่เวลา 06.00 น.ของวันที่ 17 พฤษภาคม หากมีเหตุขัดข้องโทรได้ที่ 1119 โดยแพลตฟอร์มดังกล่าวผู้ให้บริการต้องปริ้นต์คิวอาร์โค้ดติดหน้าร้าน เพื่อให้ผู้รับบริการสแกนเพื่อเช็กอิน เช็กเอ้าท์ ตรวจสอบความแออัดของร้านค้า ร้านอาหาร รวมทั้งติดตามตัวผู้ใช้บริการหากมีจำเป็น วันที่ 17 พฤษภาคม เราจะได้เห็นปรากฏการณ์ใหม่ของเมืองไทย เราจะไปสู่แพลตฟอร์มไทยชนะ เป็นการปกป้องระบบของคนในประเทศไทย ฝากทุกท่านให้ความร่วมมือด้วย
รัฐบาลเตรียมแผนฟื้นฟูท่องเที่ยว
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ได้เตรียมแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) รองรับเมื่อสถานการณ์โรคโควิด-19 คลี่คลายลงแล้ว เพื่อฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบให้กลับมาสร้างรายได้ช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว คาดว่าจะต้องใช้เงินประมาณ 1-2 หมื่นล้านบาท เพื่อฟื้นฟูทั้งการซ่อมและสร้างแหล่งท่องเที่ยว รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา จะเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติต่อไป ซึ่งหวังว่าหลังโรคโควิด-19 คลี่คลายลงภาคการท่องเที่ยวจะช่วยให้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนดียิ่งขึ้นอีกครั้ง
นอกจากนี้ ยังเน้นการท่องเที่ยวชุมชน เพื่อช่วยกระจายรายได้ เสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก สร้างความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืน ซึ่งจะช่วยก่อให้เกิดการยกระดับมาตรฐานการครองชีพและความเป็นอยู่ของประชาชนในชุมชนให้ดีขึ้น
เปิดสถานที่ 10 กลุ่มในกทม. เปิดในบริการวันนี้
ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพมหานคร เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 12/2563 ว่า คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ซึ่งมี พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธาน ได้ประชุมพิจารณามาตรการต่างๆ 3 ประเด็น มาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2 การตรวจคัดกรองเชิงรุก และการสุ่มตรวจเพื่อหาเชื้อ โดยมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2 ที่ กทม.จะผ่อนปรนให้เปิดสถานที่ 10 กลุ่ม และกิจการ ในวันนี้ ประกอบด้วย
1. ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร เครื่องดื่ม
2. ร้านค้าอื่นๆ ในห้าง ยกเว้นหนัง ร้านเกมส์ ลานโบว์ลิ่ง เครื่องเล่นหยอดเหรียญตู้เกม สถาบันกวดวิชา และร้านพระเครื่อง
3. สถานรับเลี้ยงดูแลผู้สูงอายุที่ไปแบบเช้าเย็นกลับ
4. กองถ่ายภาพยนตร์นอกสถานที่ ต้องเว้นระยะห่าง จำกัดจำนวนคนหน้าฉากไม่เกิน 10 คน หลังฉากไม่เกิน 50 คน
5. ห้องประชุม โรงแรม ศูนย์ประชุมจัดประชุมได้ไม่เกิน 50 คน และผู้เข้าประชุมต้องมาจากหน่วยงานเดียวกัน
6. คลินิก สถานเสริมความงาม ร้านทำเล็บ ทำได้ทุกอย่าง ยกเว้นสิ่งที่ต้องทำเกี่ยวกับใบหน้า
7. ฟิตเนสนอกห้าง อาทิ โยคะ ที่เล่นได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อคน
8. การออกกำลังกายในร่ม โรงยิม กีฬาประเภท แบดมินตัน สควอช ฟันดาบ ปีนผา ที่ไม่มีผู้ร่วมรับชม
9. สระว่ายน้ำสาธารณะทุกที่ทั้งในและนอกคอนโด จำกัดพื้นที่ เล่นได้ 2 ชม./ คน ให้งดเว้นการเรียนการสอนว่ายน้ำ
10. สวนพฤกษศาสตร์ สวนดอกไม้ ห้องสมุด หอศิลป์ ต้องมีการจองคิว จัดรอบและไม่มีการรวมกลุ่มในการดูวิดีทัศน์ ทั้งนี้ ทุกกิจกรรมที่อนุญาตให้เปิดสถานบริการได้ ต้องยึดหลักมาตรการควบคุมโรค เว้นระยะห่างที่มีการกำหนดไว้ก่อนหน้านี้
เดนมาร์ก มีผู้เสียชีวิตจากโควิด -19 เป็นศูนย์ ครั้งแรก
กระทรวงสาธารณสุขเดนมาร์ก ระบุว่าพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เพิ่ม 78 คนในวันศุกร์(15พ.ค.) ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 10,791 คน ขณะที่จำนวนผู้ป่วยที่รักษาตัวในโรงพยาบาลลดลง 10 คน เหลือ 137 คน ส่วนยอดผู้เสียชีวิตยังเท่าเดิมที่ 537 ราย หลังเตรียมเข้าสู่การผ่อนปรนระยะที่ 2 ของการเปิดเศรษฐกิจ ซึ่งอนุญาตให้โรงเรียนสำหรับเด็กโตเปิดการเรียนการสอน ขณะที่ห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารต่างๆก็กลับมาเปิดบริการ แม้จะกลับมาเปิดเศรษฐกิจ แต่ข้อมูลพบว่าอัตราการแพร่เชื้อจากคนๆหนึ่งสู่บุคคลอื่นๆในเดนมาร์กนั้น ลดลงเหลือ 0.7 จากระดับ 0.9 ในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม
คริสเตียน เวจเซ นักวิทยาศาสตร์ประจำแผนกโรคติดเชื้อแห่งมหาวิทยาลัยอาร์ฮุส กล่าวว่า จำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำ และมีตัวเลขผู้เสียชีวิตเป็นศูนย์อีกในหลายวันข้างหน้า สะท้อนว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคกำลังจะคลี่คลาย
สถานการณ์ในเดนมาร์กนั้น ดูจะสวนทางกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสวีเดน โดยในวันศุกร์(15พ.ค.) สวีเดน พบผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มอีก 117 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสมพุ่งเป็น 3,646 ราย ในขณะที่ผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 29,207 คน หลังจากพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 625 คน
สวีเดนเลือกใช้ยุทธศาสตร์ "ภูมิคุ้มกันหมู่" อนุญาตให้โรงเรียนระดับประถมและมัธยมยังคงเปิดการเรียนการสอน ขณะที่ร้านค้าและร้านอาหารก็เปิดบริการภายใต้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและสุขอนามัยที่ดี มาตรการเหล่านั้นล้วนอยู่บนพื้นฐานของความสมัครใจ เพียงแค่ขอความร่วมมือและไม่มีบทลงโทษ
รัฐบาลอิตาลีให้ประชาชนเดินทางเข้า-ออกประเทศได้ตั้งแต่วันที่ 3 มิ.ย.
การผ่อนคลายล็อกดาวน์ของอิตาลี ล่าสุด นายกรัฐมนตรี จูเซปเป คอนเต ยืนยันว่าจะกลับสู่ภาวะปกติจะต้องกระทำอย่างช้าๆ และรัดกุมที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กลับมาระบาดหนักเป็นครั้งที่ 2 อิตาลีมีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 31,600 รายนับตั้งแต่เริ่มพบการระบาดในประเทศเมื่อวันที่ 21 ก.พ. ซึ่งถือเป็นยอดผู้เสียชีวิตสูงสุดอันดับ 3 ของโลกรองจากสหรัฐฯ และอังกฤษ
ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ห้างร้านต่างๆ ในอิตาลีจะเริ่มเปิดทำการในวันที่ 18 พ.ค. รวมถึงการเดินทาง ภายในภูมิภาคเดียวกัน ส่วนการเดินทางข้ามภูมิภาคและการเดินทางเข้า-ออกประเทศจะยังถูกห้ามต่อไปจนถึงวันที่ 2 มิ.ย. ซึ่งเป็นวันสาธารณรัฐอิตาลี เพื่อป้องกันไม่ให้คนแห่ท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว
จากนั้น มาตรการปลดล็อกข้อจำกัดการเดินทาง จะมีผลในวันที่ 3 มิ.ย. ฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับสู่ภาวะปกติ ขณะที่กฤษฎีกายังคงกำหนดให้หน่วยงานสาธารณสุขอิตาลีต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าการระบาดอยู่ในภาวะที่ควบคุมได้