ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 19.30 น.วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม 2563

15 พฤษภาคม 2563, 21:00น.


หัวหน้า ศปม.สั่งปรับแผนเพิ่มความเข้มข้น รับมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 2



          พล.ต.ธีรพงศ์ ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่า พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (หน.ศปม.) สั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปม.ตร) เจ้าหน้าที่ทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานเพื่อเตรียมรองรับการประกาศมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 2 ที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ซึ่งจะประกาศใช้ต่อไป ด้วยการให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความถี่ในการชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการที่ได้รับการผ่อนคลายให้เปิดบริการและประชาชนที่ใช้บริการ ขอให้ปฏิบัติตาม 5 มาตรการป้องกันอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งใช้มาตรการเด็ดขาดในการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่จงใจฝ่าฝืน กำชับเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจควบคุมการแพร่ระบาดโรคและจุดตรวจควบคุมการห้ามออกนอกเคหสถานในเวลาที่กำหนด ตลอดจนการจัดชุดสายตรวจออกตรวจพื้นที่ให้ครอบคลุมเพื่อป้องกันปัญหาอาชญากรรม



สธ. เริ่มใช้ การแพทย์แบบวิถีใหม่ ที่โรงพยาบาลเขตสุขภาพที่ 6



          การจัดบริการทางการแพทย์แบบวิถีใหม่ลดความแออัดและป้องกันโรคโควิด-19 นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ได้พลิกวิกฤตระบบสาธารณสุขของไทยให้เป็นโอกาส ทำให้เกิด การแพทย์วิถีใหม่ หรือ New Normal  และได้เริ่มใช้ การแพทย์แบบวิถีใหม่ ที่โรงพยาบาลเขตสุขภาพที่ 6 แล้ว ประกอบด้วย จ. ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด จะมีการขยายผลไปใช้ในโรงพยาบาลประจำจังหวัดต่างๆต่อไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน เช่น



-การไปโรงพยาบาล เท่าที่จำเป็น ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยมากขึ้น มีการนัดหมายแพทย์ล่วงหน้า เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาล และเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อความปลอดภัยทั้งบุคลากรทางการแพทย์และประชาชน  รวมถึง ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มการเข้าถึงบริการและยกระดับคุณภาพบริการ ก็จะทำให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น



          สำหรับการให้บริการทางการแพทย์แบบวิถีใหม่ จะมุ่งเน้นการรักษาให้เหมาะสมเฉพาะบุคคล ด้วยการแยกกลุ่มประเภทผู้ป่วยออกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย



- กลุ่มแรก เป็นกลุ่มที่ดูแลตนเองได้ดี ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ ไม่ต้องมาโรงพยาบาล ใช้การจัดส่งยาให้ต่อเนื่อง



- กลุ่มต่อมาคือกลุ่มที่มีคำถามต้องการปรึกษาแพทย์ หรือปัญหาเล็กน้อยบางอย่าง โดยไม่จำเป็นต้องมาโรงพยาบาล ให้บริการผ่านระบบการสื่อสาร



-กลุ่มสุดท้ายที่มีความจำเป็นต้องมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลจริง รวมทั้งพัฒนา Digital Solution เป็นเครื่องมือให้แพทย์และคนไข้สามารถติดต่อพูดคุยและปรึกษากันโดยไม่จำเป็นต้องมาโรงพยาบาลและใช้เทคโนโลยีอื่นๆมาใช้อำนวยความสะดวกในการบริการด้วย



ตลาดหุ้นไทย ปิดบวกเล็กน้อย 0.36 จุด รับข่าวคลายล็อกดาวน์ ระยะ 2



         น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก เปิดเผยถึง ภาวะตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,280.76 จุด เพิ่มขึ้น 0.36 จุด มูลค่าการซื้อขาย 50,659.85  ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยปิดบวกเล็กน้อย รับข่าวคลายล็อกดาวน์ระยะที่ 2 หลังสถานการณ์โควิด-19 ในไทยดีขึ้น และมีแรงเทขายหุ้นทำกำไรออกมาบางส่วน



         ปัจจัยที่ติดตามสัปดาห์หน้าทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ



-กังวลสถานการณ์โควิด-19 ในต่างประเทศกลับมาระบาดซ้ำ หลังจากผ่อนคลายล็อกดาวน์



-สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทวีตข้อความโจมตีจีน เรื่องโควิด-19  



-วันที่ 18 พ.ค. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ประกาศตัวเลขจีดีพี



-วันที่ 20 พ.ค. ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) คาดว่า จะลดดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.25



         ด้านกลยุทธ์การลงทุน เน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากคลายล็อกดาวน์ เช่น ร้านอาหาร ค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า ประเมินแนวรับสัปดาห์หน้าที่ระดับ 1,250 จุดแนวต้านที่ 1,300 จุด



จีนแถลงบอกให้สหรัฐฯ "พบกันครึ่งทาง" หลัง ทรัมป์ ขู่ตัดความสัมพันธ์



         นายจ้าว ลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวในช่วงหนึ่งของการแถลงประจำวันศุกร์ เกี่ยวกับการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่า วิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ทำให้เขาไม่อยากเสวนากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน และกำลังพิจารณาโต้ตอบอาจรวมถึงการตัดความสัมพันธ์ ว่าสหรัฐฯและจีนควรพบกันครึ่งทาง



          นายจ้าว ไม่ได้ขยายความว่า การพบกันครึ่งทางต้องทำอย่างไร แต่กล่าวถึงการยกระดับความร่วมมือระดับทวิภาคี ในการฝ่าฟันวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ขณะเดียวกัน การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่เป็นไปอย่างมั่นคง คือ พื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมระหว่างสองประเทศ และยังนำมาซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพโลก



         ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า การตัดความสัมพันธ์ กับรัฐบาลจีน จะช่วยทำให้สหรัฐฯประหยัดเงินได้มากถึง 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 16 ล้านล้านบาท สื่อถึงมูลค่าสินค้าที่นำเข้าจากจีนในแต่ละปี



         สำหรับข้อตกลงการค้าระยะที่หนึ่ง ระหว่างสหรัฐฯกับจีน มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 15 ก.พ.สาระสำคัญว่า ภายใน 2 ปีนับจากนี้ จีนจะเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตร แบ่งเป็น 76,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปีแรก หรือ ราว 2.46 ล้านล้านบาท  และอีก 123,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีต่อไป  ราว 3.95  ล้านล้านบาท สูงกว่ามูลค่าสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯที่จีนสั่งซื้อเมื่อปี 2560 ซึ่งเป็นปีแรกที่นายทรัมป์ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ



         ส่วนเงื่อนไขทางการค้าที่สหรัฐฯผ่อนปรนให้จีน รวมถึงการลดกำแพงภาษีจากร้อยละ 15 ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 7.5 ต่อมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากจีน 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  ราว 3.85 ล้านล้านบาท  ซึ่งอัตราเดิมเป็นไปตามมาตรการที่รัฐบาลสหรัฐฯบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ก.ย. ปีที่แล้ว



         สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลก เกิดขึ้นเมื่อเดือนม.ค. 2561 เริ่มจากการที่นายทรัมป์ สั่งขึ้นภาษีเครื่องซักผ้าและแผงเซลล์แสงอาทิตย์จากจีน หลังจากนั้นทั้งสองประเทศขึ้นภาษีตอบโต้กันอย่างต่อเนื่อง



ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ จำคุกตลอดชีวิต ผู้ต้องหา ฆ่า น้องหญิงตกรถเทรลเลอร์



          คดี น.ส.นรีกานต์ หรือ หญิง  อายุ 19 ปี เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา หลังจากกลับจากเที่ยวสถานบันเทิงแห่งหนึ่งใน จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อกลางดึกวันที่ 19 ก.ค.2561 โดยมีนายสุรพล ดาราคำ อายุ 23 ปี ขับรถเทรลเลอร์พาไปส่งบ้าน พร้อมระบุว่า ระหว่างทาง น.ส.นรีกานต์  กระโดดลงจากรถจนเสียชีวิต แต่ญาติไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ สงสัยเป็นการฆาตกรรมจึงร้องเรียนขอความเป็นธรรม  ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษายกฟ้อง นายสุรพล จำเลยที่ 1 กับพวก แต่ให้ขังจำเลยที่ 1 ไว้ ระหว่างรอยื่นอุทธรณ์ จำเลยยื่นประกันตัวต่อสู้คดี วันนี้ จำเลยเดินทางมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ นายสุรพล กับพวกรวม 2 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง หรือกระทำการด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังถึงแก่ความตาย และทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายและฆ่าผู้อื่น



         ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ มีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต



 

ข่าวทั้งหมด

X