หมอจุฬาฯ แนะใช้ชีวิตอย่างมีสติ ใช้ชีวิตนอกบ้านให้น้อยที่สุด พร้อมรับคลายล็อกระยะ2
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และรศ.ดร.พญ.ภัทรวัณย์ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่า เกือบสองเดือนแล้วที่ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 สม่ำเสมอทุกวัน วันนี้เป็นวันที่เรารอคอย ที่ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ นับเป็นข่าวที่น่ายินดียิ่ง แต่ที่เรากังวล คือ การได้ยินทุกวันว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะน้อยจะมาก ก็ทำให้กังวลและเป็นห่วง มองว่า ถ้ารัฐกำลังจะปลดล็อกระยะที่ 2 ซึ่งจะมีห้างสรรพสินค้าและอื่นๆที่อาจจะมีความเสี่ยงในการติดเชื้อและแพร่เชื้อได้มากขึ้นกว่าการปลดล็อกระยะที่ 1 เราควรต้องระวังอะไรบ้าง?
1. ขอให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ตั้งอยู่บนความพอเพียง อย่าโลภ อย่าประมาท วางแผนในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน
2. ยอมรับและเข้าใจเสมอว่า ทุกครั้งที่เราออกไปใช้ชีวิตนอกบ้าน จะไปช็อป ไปทำธุระ ไปทำงาน ไปเที่ยว ล้วนเป็นวินาทีที่มีความเสี่ยง ดังนั้นหากรักตัวเอง รักคนในครอบครัว ก็ต้องมีอาวุธครบมือก่อนออกจากบ้าน ใส่หน้ากากเสมอ พกเจลแอลกอฮอล์หรือหมั่นล้างมือบ่อยๆเป็นนิสัย และอยู่ห่างจากคนอื่นๆ สงสัยไว้ก่อนว่าอาจติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว ระแวงให้มากขึ้น...จะช่วยให้ระวังมากขึ้น แต่ตระหนักถึงเรื่องดังกล่าว ไม่ต้องตระหนกจนไม่สามารถทำงานได้
3. ปลดล็อกระยะที่ 2 จะทำให้คนในสังคมแออัดมากขึ้นแน่ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว และถ้าป้องกันไม่ดีพอ จะระบาดซ้ำใน 4-6 สัปดาห์เหมือนญี่ปุ่นและสิงคโปร์ เลี่ยงการขนส่งสาธารณะช่วงแออัด เผื่อเวลาไว้เสมอ ส่วนการทำงานหากต่อรองและทำงานที่บ้านได้จะดีมาก ส่วนการไปซื้อของ ให้เตรียมถุงส่วนตัวไปจะได้ไม่ต้องใช้ของร่วมกับคนอื่นโดยไม่จำเป็น วางแผนล่วงหน้าว่าจะไปซื้ออะไรที่ไหน จะได้ใช้เวลาให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ส่วนการบริการใดๆ ที่ใกล้ชิดกัน เช่น นวดหลัง นวดคอ นวดเท้า หรืออื่นๆ ถ้าไม่จำเป็นก็เลี่ยง ถ้าเลี่ยงไม่ได้เพราะใจอยาก ก็ต้องป้องกันให้ดี เคร่งครัดในวินัย และลดเวลาให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ สมาชิกในครอบครัวช่วยกันนวด ก็อาจเป็นทางเลือกที่ดี
ธุรกิจห้างร้านที่ค้าขาย อยากให้ใช้วิธีออนไลน์ให้มากขึ้น เน้นจัดโปรโมชั่นหากซื้อขายกันทางออนไลน์ น่าจะลดต้นทุนและเพิ่มกำไรทั้งผู้ค้าขายและผู้ซื้อ
อาหารการกินในร้านและห้าง บอกตรงๆ ว่าต่อให้จำนวนติดเชื้อเป็น 0 แต่เชื้อยังมีอยู่แน่นอน เพียงตรวจยังไม่เจอ ดังนั้นการกินอาหารแบบซื้อกลับบ้านปลอดภัยกว่าการนั่งกินอย่างมาก ในฐานะแพทย์คนหนึ่ง ไม่แนะนำให้ไปนั่งกินในร้าน ยกเว้นจำเป็นจริงๆ ก็รีบกินรีบกลับ
รศ.นพ.ธีระ ระบุว่า เราใช้เวลา 5 สัปดาห์หลังจากล็อกดาวน์ จนควบคุมโรคได้ดีขึ้น และนับเป็นเวลา 6 สัปดาห์ที่ทำให้ยอดติดเชื้อใหม่รายวันเป็นศูนย์ แต่ไม่ได้แปลว่าโรคโควิด-19 หายไปจากสังคมไทย ยังอยู่กับเราอีกนาน ตราบใดที่ยังไม่มียาและวัคซีน ตอนนี้กำลังเข้าสู่การระบาดระยะที่ 4 ที่อัตราการติดเชื้อน่าจะลดลงไปยาวๆ แบบนี้ หากเราช่วยกันตั้งการ์ดในการใช้ชีวิตเสมอ New Normal = New "Me"
"รองวิษณุ" เผยปลดล็อกระยะ 2 ใช้เกณฑ์พิจารณาเดียวกับระยะที่ 1
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง การพิจารณาผ่อนปรนกิจกรรมและกิจการที่จะเปิดในระยะที่ 2 ว่า รอผู้เกี่ยวข้องประเมินสถานการณ์และรายงานให้ที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่พิจารณาในวันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม สำหรับเกณฑ์ที่ศบค.จะใช้ในการพิจารณาผ่อนคลาย จะยึดตามหลักเกณฑ์เดียวกับระยะที่ 1 ได้แก่
1.โอกาสเสี่ยงของบุคคล เช่น คนบางประเภทเสี่ยงแต่คนบางประเภทไม่เสี่ยง เช่น คนที่อยู่บ้านกับคนที่เดินทาง เด็กกับผู้ใหญ่ เป็นต้น
2.โอกาสเสี่ยงด้านสถานที่ เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาด ผับ บาร์ เป็นต้น
3.โอกาสเสี่ยงของแต่ละกิจกรรมและกิจการ เช่น กิจกรรมบางอย่างรวมตัวกัน 5-10 คนมีความเสี่ยง แต่กิจกรรมบางอย่างไม่เสี่ยง เพราะมีคนดูแล ดังนั้นจะใช้ 3 หลักเกณฑ์นี้ที่ใช้ผ่อนคลายในระยะที่ 1 มาพิจารณา
นายวิษณุ กล่าวว่า จากพฤติกรรม 14 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม จนถึงวันนี้ หากดูจากจำนวนผู้ป่วยสะสม ผู้ป่วยหายกลับบ้าน และผู้เสียชีวิตที่ลดลง ถือเป็นดัชนีชี้วัด แต่สิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจและไม่สามารถผ่อนคลายได้ทั้งหมด เนื่องจาก ยังมีการละเมิดข้อกำหนด อยู่ เช่น ละเมิดเคอร์ฟิว มีการเดินทางข้ามจังหวัดซึ่งไม่ได้ห้าม แต่มีโอกาสเสี่ยง และยังมีการเดินทางเข้าประเทศ ทำให้วันนี้ยังไม่สามารถเปิดอะไรได้หมด แต่ควบคุมอยู่ จึงเตรียมไปสู่การผ่อนคลายระยะที่ 2
ส่วนที่มีผู้ประกอบการขอขยายเวลาเคอร์ฟิว จากเดิม 22.00น.-04.00น. มาเป็น 23.00น.-04.00น. มีแนวโน้มเป็นไปได้หรือไม่ ศบค.ชุดเล็กกำลังดูอยู่ และมีโอกาสยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เร็วไปที่จะพูดในขณะนี้เพราะยังมีเวลาอีกครึ่งเดือนกว่าจะครบ 31 พฤษภาคม ในส่วนตัวยังตอบอะไรไม่ได้
ต่างชาติ เทขายหุ้นทำกำไร ห่วงไทยระบาดรอบ 2 หุ้นไทยลดลง 5.14 จุด
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันนี้ มีความผันผวนตลอดทั้งวัน ช่วงเช้านักลงทุนซื้อเพื่อทำกำไร ขณะที่ช่วงบ่ายกลับเทขายออกมาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่เทขายออกมามากที่สุด เพื่อหวังลดความเสี่ยง หลังจากที่ต่างประเทศยังน่าเป็นห่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบ 2 จากเกาหลีใต้และจีน กดดันตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียต่างลบกันเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ตลาดบ้านเรายังไม่มีปัจจัยอะไรที่ส่งผลกระทบในด้านบวกมากนัก นักลงทุนต้องรอปัจจัยในสัปดาห์หน้าเรื่องการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.), ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1 และการลุ้นคลายล็อกดาวน์เฟส 2 ทำให้ปิดตลาดวันนี้ 1,294.55 จุด ลดลง 5.14 จุด มูลค่าการซื้อขาย 62,241.08 ล้านบาท
นักซูโม่หนุ่ม เสียชีวิตจากโควิด-19 เป็นคนแรกที่อยู่ในกลุ่มอายุน้อย
สมาคมซูโม่แห่งญี่ปุ่น (JSA) เปิดเผยว่า “โชบูชิ” หรือ คิโยทากะ ซูทาเกะ นักซูโม่วัย 28 ปีเสียชีวิตแล้วจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นนักกีฬาซูโม่คนแรกและเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มอายุ 20 ปีคนแรกของญี่ปุ่นที่เสียชีวิต ผู้เสียชีวิตทั้งหมดในญี่ปุ่น คือผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี "โชบูชิ" เริ่มมีไข้สูงตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน และใช้วิธีการปรึกษาแพทย์ทางโทรศัพท์ จนวันที่ 8 เมษายน ไอเป็นเลือด เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล แต่ผลการตรวจออกมาเป็นลบ วันถัดมาอาการของเขาทรุดลง จึงย้ายไปโรงพยาบาลแห่งที่ 2 และมีผลการตรวจพบว่าติดเชื้อในวันที่ 10 เมษายน จากนั้นก็มีอาการทรุดลงต้องอยู่ในห้องไอซียูในอีก 9 วันถัดมา และเสียชีวิตด้วยอาการระบบอวัยวะล้มเหลว ในเวลาเที่ยงคืนของเมื่อคืนนี้
จากกรณีของ “โชบูชิ” สมาคมได้ให้นักกีฬาและเจ้าหน้าที่ประมาณ 1,000 คนของสมาคมเข้ารับการตรวจหาเชื้อ ซึ่งเป็นการทดสอบครั้งใหญ่ในวงการกีฬาญี่ปุ่น และพบว่ามีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่อีก 5 คนมีผลการตรวจเป็นบวก ญี่ปุ่นมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 15,968 คน เสียชีวิต 657 ราย
พายุหว่องฟ้ง ไม่กระทบไทย แต่ฟิลิปปินส์ ห่วงฝนตก-น้ำท่วมทางภาคเหนือและภาคกลาง
นายทอม ซาเตอร์ นักข่าวสายพยากรณ์อากาศของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า พายุไต้ฝุ่นลูกแรกของปีนี้ คือ พายุหว่องฟ้ง เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นพายุโซนร้อนในทะเลทางตะวันออกของฟิลิปปินส์ หว่องฟ้ง ในภาษาจีนเป็นชื่อของตัวต่อ แมลงชนิดหนึ่ง
สำหรับพายุลูกนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาของไทย รายงานว่า เคลื่อนตัวบริเวณด้านตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ มีแนวโน้มเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พายุลูกนี้ไม่มีผลกระทบต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย
ความเคลื่อนไหวล่าสุด รายงานระบุว่า พายุจะค่อยๆเพิ่มความแรงขึ้นเป็นระดับไต้ฝุ่น ขณะเคลื่อนตัวเข้าใกล้ฟิลิปปินส์ คาดว่า พายุจะพัดถล่มพื้นที่ภาคกลางของฟิลิปปินส์ระหว่างคืนวันพฤหัสบดีหรือเช้ามืดวันศุกร์นี้ จากนั้นพายุจะเลี้ยวขึ้นไปทางเหนือมุ่งหน้าไปที่เกาะลูซอน ก่อนเคลื่อนตัวออกจากฟิลิปปินส์ในวันอาทิตย์
อิทธิพลของพายุจะส่งผลทำให้มีฝนตกหนัก มีปริมาณฝนเฉลี่ย 100-250 มม.(หรือ 4-10 นิ้ว)ทั่วทั้งพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางของประเทศตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันอาทิตย์ มีคำเตือนว่าอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันในบางพื้นที่ของหมู่เกาะวิซายัส,เขตบีโกล หรือพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะลูซอนและกรุงมะนิลา
กลุ่มติดอาวุธอัฟกัน โจมตี 3 จุด เสียชีวิต-บาดเจ็บนับร้อยคน
เกิดเหตุกลุ่มติดอาวุธในอัฟกานิสถาน บุกโจมตีเป้าหมาย 3 แห่งในเวลาใกล้เคียงกัน ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนนับร้อยคนมาก
-การโจมตีเริ่มจากการที่คนร้ายจุดชนวนระเบิดฆ่าตัวตายท่ามกลางคนที่มาร่วมงานศพที่จังหวัดนานกาฮาร์ ทางภาคตะวันออก ทำให้มีผู้เสียชีวิต 24 รายได้รับบาดเจ็บอีก 68 คน ซึ่งต่อมา กลุ่มรัฐอิสลามหรือไอเอส ยอมรับว่านักรบของกลุ่มคือมือระเบิดที่ก่อเหตุ
-ต่อมาที่กรุงคาบูล กลุ่มติดอาวุธบุกโจมตีแผนกสูติกรรมของโรงพยาบาลดาช-เต-บาร์ชี มีผู้เสียชีวิต 24 ราย บาดเจ็บ 16 คน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข รายงานว่า ผู้เสียชีวิตมีทั้งแม่กับทารก และพยาบาล
-จุดที่ 3 คือการโจมตีตลาดในจังหวัดโคสต์ ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บอีก 10 คน
ประธานาธิบดีอัชราฟ กานี ออกแถลงการณ์ทางโทรทัศน์ สั่งการให้กองกำลังรักษาความมั่นคงเปลี่ยนภารกิจมาเป็นการป้องกันการโจมตี พร้อมทั้งระบุว่า ผู้ก่อเหตุคือกลุ่มตอลีบาน และกลุ่มกองกำลังที่มีความภักดี แต่กลุ่มตอลีบานยืนกรานว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้ง 3 เหตุการณ์ เพราะได้ลงนามข้อตกลงสันติภาพกับสหรัฐฯ ตั้งแต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และร่วมประณามผู้ก่อเหตุ โดยเฉพาะการโจมตีโรงพยาบาล
ข่าวทั้งหมด