ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 07.30น. วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563

12 กุมภาพันธ์ 2563, 07:10น.


ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 07.30น. วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563



นายกรัฐมนตรี ย้ำ ห้ามเรือเวสเตอร์ดัมเทียบท่า ไทยป่วยเพิ่ม 1 คน



           พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึง กรณีเรือสำราญเอ็มเอส เวสเตอร์ดัม พร้อมผู้โดยสารและลูกเรือกว่า 2,200 คน ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และญี่ปุ่น ปฏิเสธให้เข้าเทียบท่าปลายทาง เนื่องจากพบผู้โดยสารต้องสงสัยติดเชื้อไวรัสโคโรนา จะขอเทียบท่าที่แหลมฉบัง จ.ระยอง ว่าไม่อนุญาตให้จอดแต่จะดูแลในเรื่องของมนุษยธรรม อย่างการเติมน้ำมัน หรือต้องการน้ำ อาหาร จะส่งไปให้ ต้องมีมาตรการที่เหมาะสมก่อนเช่นเดียวกับต่างประเทศที่ดำเนินการ ก็ขอให้เข้าใจด้วย เพราะมีคนจำนวนมาก 2,000 กว่าคนบนเรือ จึงต้องระมัดระวังการแพร่กระจายไประยะที่ 3 วันนี้ไทยอยู่ในระยะที่ 2 ยังควบคุมได้ หรือดูแลผู้ที่มาจากต่างประเทศได้ แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ จะประชุมและให้กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงมาตรการเตรียมการขั้นต้น ไม่ให้นำไปสู่การแพร่ระบาดก็อย่าเพิ่งตื่นตระหนก ถ้าทำได้ดีครบถ้วนทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา



           นอกจากนี้ ได้สั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไปประชุมหารือกับผู้ประกอบการผลิตหน้ากากอนามัยให้ผลิตเพิ่มมากขึ้น ทราบว่าหลายโรงงานมีการเพิ่มวงรอบการผลิตเพื่อให้ประชาชนใช้ได้อย่างทั่วถึง และต้องมีมาตรการสำรองด้วย เพราะหลายประเทศขอมาเหมือนกัน เพราะหลายประเทศก็ขาดแคลน จึงต้องเตรียมการให้พร้อม



            นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ยืนยันว่าจะไม่ให้เรือดังกล่าวเข้ามาเทียบท่าเรือในเขตประเทศไทยอย่างแน่นอน ได้แจ้งไปยังผู้ประสานงานของเรือดังกล่าวว่าประเทศไทยไม่อนุญาตให้เรือดังกล่าวเข้ามาเทียบท่า



          น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า จากกรณีเรือสำราญเวสเตอร์ดัมที่มีกระแสว่าจะเข้ามาเทียบท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี กรมเจ้าท่าได้ชี้แจงว่าความจริงแล้วเรือลำนี้ไม่ได้ติดต่อมาขออนุญาตเพื่อเข้าจอดที่ประเทศไทย แต่จากข่าวที่ออกมาอาจจะเป็นเพราะว่าทางเรือได้ติดต่อกับเอเยนต์ ที่เป็นคนไทย ทางเอเยนต์ก็ไม่ได้ติดต่อมาที่กรมเจ้าท่า แต่กลับนำข้อมูลไปลงที่เว็บไซต์ของบริษัท ทางโซเชียลเห็นการรายงานจึงหยิบมาเป็นกระแส โดยไทยจะช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม โดยจะส่งสิ่งจำเป็น เช่น ยา อาหาร หรือน้ำมันเติมเรือให้แทน



          ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้มีการหารือถึงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่จะต้องมีการพิจารณาวาระ 2-3 ใหม่ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จากกรณีที่มี ส.ส. เสียบบัตรแทนกัน โดยนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) รายงานว่า จะเสนอให้โหวตร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯ โดยไม่มีการอภิปราย แต่จะขอไปหารือกับคณะกรรมการประสานงานร่วม 3 ฝ่ายก่อน คาดว่าพรรคเพื่อไทยจะสามารถพูดคุยได้ แต่ที่เป็นปัญหาน่าจะเป็นพรรคอนาคตใหม่ที่อาจจะพูดคุยตกลงกันไม่ได้ นอกจากนี้ ยังกำชับให้ ส.ส.ทุกคนเข้าประชุมสภากันอย่างพร้อมเพรียง เพราะจะมีการโหวตญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดการรัฐประหารขึ้นอีกในอนาคต



          อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุม ครม. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เสนอว่ารัฐบาลควรแจกหน้ากากอนามัยให้กับประชาชน แทนการจำหน่าย โดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า มีแผนอยู่แล้วที่จะแจกให้กับกลุ่มคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อยู่ในขั้นตอนเรื่องงบประมาณว่าจะนำจากส่วนไหนมาใช้ ขณะที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ประเด็นไม่ได้อยู่ที่จะแจกหรือจะขาย แต่อยู่ที่กำลังการผลิตจะเพียงพอหรือไม่ เพราะทุกวันนี้กำลังผลิตยังไม่เพียงพอ



          ล่าสุดทำเนียบรัฐบาล ยกเลิกการจำหน่ายหน้ากากอนามัยจากกระทรวงพาณิชย์ และนำหน้ากากอนามัยที่ได้รับสนับสนุนมาแจกจ่ายให้กับประชาชน โดยจำกัดจำนวนคนละ 5 แผ่น เพียงแสดงบัตรประชาชน ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ตั้งแต่เวลา 10.00 น. วันที่ 11 กุมภาพันธ์ จนกว่าจะหมด



          นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังประชุมกับผู้ประกอบการออนไลน์ ได้แก่ ลาซาด้า ช้อปปี้ เจดี เซ็นทรัล เรื่องมาตรการควบคุมดูแลราคาขายหน้ากากอนามัยในออนไลน์ว่า หลังมีประชาชนร้องเรียนผ่านสายด่วน 1569 มีกว่า 1,425 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นการร้องเรียนร้านค้าทั่วไปและร้านค้าในออนไลน์ขายสินค้าสูงเกินจริง จึงได้เรียกเจ้าของแพลตฟอร์มออนไลน์ 3 รายใหญ่เข้ามาชี้แจงทำความเข้าใจและขอความร่วมมือในการควบคุมดูแลการค้าหน้ากากอนามัยไม่ให้สูงเกินจริง  โดยขอให้ 3 แพลตฟอร์มเข้าไปดำเนินการตามกฎหมาย หากพิสูจน์ว่าร้านค้าบนออนไลน์นั้นขายเกินราคาจริง มีโทษคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากไม่ปิดป้ายแสดงราคาปรับครั้งละ 1 หมื่นบาท โดยทั้ง 3 รายแจ้งว่าจะเริ่มได้ทันทีวันที่ 12 กุมภาพันธ์ หากประชาชนพบขายบนออนไลน์แพงเกินจริง ร้องมาได้ที่สายด่วน 1569 จะไปดำเนินการทันที



            นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้พบผู้ป่วยติดเชื้อยืนยันเพิ่มใหม่อีก 1 ราย รวมสะสมจำนวน 33 ราย ล่าสุดเป็นหญิงชาวจีนอายุ 54 ปี ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวมาจากเมืองอู่ฮั่น ที่ได้เดินทางเข้ามาก่อนมีประกาศปิดเมือง และเดิมทีผู้ป่วยรายนี้เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูงกับผู้ป่วยชาวจีนติดเชื้อยืนยันรายที่ 22 สธ.ได้ติดตามเฝ้าดูอาการมาเป็นระยะ 14 วัน แล้วพบว่ามีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ จึงได้ส่งตัวเข้าห้องแยกโรค ที่สถาบันบำราศนราดูรเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ และผลตรวจจากห้องปฏิบัติการ (แล็บ) เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ยืนยันว่า ผู้ป่วยรายนี้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 แต่เนื่องจากเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูงอยู่แล้วจึงมีการติดตามอาการโดยตลอด ส่งผลให้อาการของโรคไม่รุนแรง และอาการดีขึ้นตามลำดับ จำนวนที่แพทย์อนุญาตกลับบ้านมีเพียง 10 คน ข่าวดีคือผู้ป่วยชาวจีนที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล (รพ.) ราชวิถี ขณะนี้ออกจากห้องแยกโรคแล้วและผลตรวจจากห้องทดลองเป็นลบ ซึ่งขณะรอดูอาการอื่นเพิ่มเติม คาดว่า จะเป็นรายที่ 11 ที่ให้กลับบ้าน และจำนวนผู้ป่วยที่อยู่ใน รพ.ราชวิถีและสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ รวมทั้งหมด 7  คน การคาดการณ์จะมีผู้ที่หายและกลับบ้านในรายที่ 11 และ 12 ต่อไป ในขณะนี้กรมการแพทย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น สถาบันบำราศนราดูร รพ.เอกชน รพ.ในกรุงเทพมหานคร (กทม.) รวมถึง รพ.ในต่างจังหวัด ได้เตรียมห้องแยกโรคเพื่อรองรับสถานการณ์หากมีการระบาดเพิ่มขึ้น ยืนยันว่าการเตรียมความพร้อมยังเข้มข้นและเต็มที่



           ส่วนผู้ป่วยอายุ 70 ปี ที่มีอาการของวัณโรคร่วมด้วยนั้นเมื่อแรกรับมีอาการต้องใช้ท่อช่วยหายใจ มีอาการที่รุนแรงอาการยังทรงตัว  แพทย์ให้การรักษาตามอาการและในอีกรายแรกรับก็มีอาการค่อนข้างรุนแรงขณะนี้ก็ยังมีอาการทรงตัวเช่นเดียวกัน



ททท.ดันไทยเที่ยวไทย สู้ศึกโคโรนา



          วิกฤติโคโรนาเป็นตัวแปรหลักที่ฉุดรั้งให้การท่องเที่ยวของไทยในปี 2563 กำลังจะติดลบครั้งแรกในรอบ 6 ปี ทำให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ปรับลดเป้าหมายการท่องเที่ยวในปี 2563 ใหม่ โดยลดเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติเหลือ 36 ล้านคน ติดลบ ร้อยละ 9.5  สร้างรายได้ 1.78 ล้านล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ที่มีต่างชาติเที่ยวไทย 39.77 ล้านคน สร้างรายได้ 1.96 ล้านล้านบาท  โดยประเมินว่าในปีนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติจะหายไปราว 4.8 ล้านคน หากเทียบกับคาดการณ์แนวโน้มก่อนหน้านี้ที่คาดไว้เมื่อปลายปีที่แล้วก่อนเกิดไวรัสโคโรนาว่าจะมีนักท่องเที่ยว 40.78 ล้านคน และหายไปจากเป้าหมายเดิมที่ททท.วางไว้ตั้งแต่กลางปี 2562 รวม 6.25 ล้านคน จากเป้าหมายที่วางไว้ 42.25 ล้านคน ส่วนการเดินทางเที่ยวในประเทศ ททท.ยังคงเป้าหมายไว้ตามคาดการณ์แนวโน้มเดิมคืออยู่ที่ 172 ล้านคนครั้ง เพิ่มขึ้น 4  สร้างรายได้ 1.13 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 ทำให้ในขณะนี้ ททท.และภาคเอกชนอยู่ระหว่างวางแผนขับเคลื่อนไทยเที่ยวไทย และหาตลาดอื่นมาชดเชย เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้น



          นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศ ไทย (ททท.) เปิดเผยว่า การปรับลดเป้าหมายของททท.เป็นไปตามการประเมินว่าโคโรนาจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการท่องเที่ยวของไทย และพิจารณาจากประสบการณ์รับมือในช่วงโรคซาร์ส ทำให้ททท.คาดว่าในปีนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 36 ล้านคน น้อยกว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่ปกติจะเพิ่มขึ้นปีละ 2 ล้านคน ซึ่งก็สอดคล้องกับสมมติฐานของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่คาดการณ์ผลกระทบ ในกรณีเลวร้ายสุดว่าหากจีนห้ามเดินทางตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 2563 นักท่องเที่ยวจะหายไปราว 5.21-7.07 ล้านคน สูญรายได้ 2.4-3.2 แสนล้านบาท



          ส่วนการทำตลาดต่างชาติ ททท.กำลังรอดูสถานการณ์การควบคุมไวรัสโคโรนา ถ้าดีขึ้น ทันกับช่วงครบรอบ 60 ปีของททท.ในวันที่ 18 มีนาคมนี้ ททท.ก็มีแผนจัดเมกะแฟมทริป ดึงเอเยนต์ ทัวร์และสื่อมวลชนจากทั่วโลกรวม 600 รายมาทัศนศึกษาเส้นทางท่องเที่ยวในไทย



           ด้านนายภูริวัจน์ ลิ้มถาวรรัตน์ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) เปิดเผยว่า สทน.ได้ขอรับการสนับสนุนจากรัฐราว 50 ล้านบาท ผ่านการใช้งบกลางปี 2563 เพื่อกระตุ้นไทยเที่ยวไทยผ่านบริษัทนำเที่ยวในอีก 2-3 เดือนนี้ ภายใต้ชื่อโครงการ "เสน่ห์เมืองไทยไม่ไปไม่รู้" ซึ่งผู้ประกอบการอยู่ระหว่างการให้ราคาพิเศษ เพื่อนำมาจัดแพ็กเกจท่องเที่ยวขาย ที่จะเป็นแพ็กเกจราคาช็อกโลก โดยโรงแรมจะให้ราคาลด ร้อยละ 50 และจะมีการหารือกับสายการบินต่างๆ ที่ได้รับการลดภาษีน้ำมันอากาศยานแล้ว ให้มาสนับสนุนตั๋วเครื่องบินราคาพิเศษ รถเช่าก็พร้อมให้ราคาพิเศษเพราะไม่มีงานวิ่งช่วงนี้ เบื้องต้นโครงการนี้จะมีทั้งหมด 20 เส้นทาง 50 แพ็กเกจ โดยคาดว่าในช่วง 3 เดือนของการกระตุ้น จะเกิดการเดินทางผ่านโครงการนี้ 2-5 หมื่นคน ส่วนกลุ่มเป้าหมายก็มีทั้งผู้สูงอายุ รัฐวิสาหกิจต่างๆ และประชาชนทั่วไป ประกอบกับคนไทยเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศลดลง ก็เป็นกลุ่มเป้าหมายที่จะส่งเสริมให้เที่ยวในประเทศได้



          นายชูชาติ ทองคำ ประธานที่ปรึกษาสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย กล่าวว่า ทางออกที่พอจะช่วยเหลือผู้ประกอบการได้บ้าง คือ ผลักดันให้คนไทยเที่ยวในประเทศ และปลดล็อกให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดินทางเที่ยวโดยให้บริษัทนำเที่ยวเป็นคนออกใบเสร็จให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปเบิก ก็จะทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั้งโรงแรม รถบัส บริษัทนำเที่ยว ได้รับอานิสงส์ต่อเรื่องนี้ และทำให้เกิดการเบิกจ่ายที่ถูกต้องด้วย



           นายสุภัค หมื่นนิกร ผู้ก่อตั้งสถาบันธุรกิจแฟรนไชส์อาหาร Chairman & Founder เผยว่า ไวรัสโคโรนาส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าตกลงมาร้อยละ 20-30 ส่วนในแหล่งท่องเที่ยวที่พึ่งพิงกลุ่มนักท่องเที่ยวเป็นหลัก อย่าง ตลาดนัดสวนจตุจักร หรือยูเนี่ยน มอลล์ ยอดขายหดตัวลงร้อยละ70-80 ทำให้ผู้ประกอบการไทยควรปรับตัวในเรื่องของกลุ่มลูกค้าที่ต้องมีหลากหลายไม่อาศัยเลือกเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อ โดยปรับโมเดลธุรกิจใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการขยายสาขาที่หลากหลาย อาจจะมีการลดสเกลของสาขาลง เพื่อกระจายสาขาให้ครอบคลุมในหลากหลายกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น



‘กทม.’ฝุ่นยังสะสม ‘ใต้’มีฝน เรือเล็กงดออกจากฝั่งอีก1วัน         



              “กรมอุตุนิยมวิทยา” รายงานลักษณะอากาศทั่วไป “ภาคเหนือ-อีสาน” อากาศเย็นถึงหนาว “ภาคใต้” มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กงดออกจากฝั่งต่ออีก 1 วัน ลักษณะอากาศทั่วไป ประจำวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาว ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นไว้ด้วย สำหรับภาคใต้ตอนล่างยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือระมัดระวังในการเดินเรือและเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งต่อไปอีก 1 วัน



          ฝุ่นละอองในระยะนี้ ลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ทำให้การสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันยังคงมีอยู่ ส่วนภาคเหนืออากาศยกตัวได้ไม่ดีในตอนเช้าและลมอ่อน ทำให้ตอนเช้ามีการสะสมฝุ่นละออง/หมอกควัน ส่วนตอนบ่ายจะดีขึ้นเนื่องจากอากาศยกตัวได้ดี กรุงเทพและปริมณฑล มีเมฆเป็นส่วนมากกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.

ข่าวทั้งหมด

X