กรมส่งเสริมการค้าฯ ปรับแผนลุยตลาดออนไลน์จีน
นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากการประชุมร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ในภูมิภาคจีน จำนวน 9 สำนักงาน ได้แก่ นครเซี่ยงไฮ้ นครคุนหมิง นครเฉิงตู เมืองเซี่ยเหมิน เมืองกวางโจว เมืองหนานหนิง เมืองชิงต่าว เมืองฮ่องกง และกรุงมะนิลา เพื่อติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เพื่อวางแผนและเตรียมมาตรการรองรับการส่งออกของไทย ธุรกิจส่วนใหญ่ปิดตามคำสั่งของรัฐบาลจีน โดยจะเปิดทำการเป็นปกติวันที่ 10 ก.พ. ขณะที่ ร้านค้าปลีกและซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ ยังคงให้บริการตามปกติ แต่ประชาชนออกจากบ้านน้อยลง และสั่งซื้อสินค้าผ่านออนไลน์และดีลิเวอรี่มากขึ้น กรมอยู่ระหว่างประสานไปยังแพลตฟอร์มออนไลน์รายใหญ่ของจีน เพื่อจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าไทย โดยเฉพาะสินค้าสุขอนามัยและเวชภัณฑ์ อาหารสำเร็จรูปและอาหารพร้อมรับประทาน ซึ่งมีความต้องการสูงในขณะนี้
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า อยู่ระหว่างทบทวนแผนงานโครงการส่งเสริมการค้าในรูปแบบต่างๆ ทั้งการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าร่วมกับห้างสรรพสินค้าท้องถิ่น รวมถึงการจัดคณะผู้แทนการค้าในตลาดจีน เพื่อปรับแผนการดำเนินงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป ขณะเดียวกัน เพื่อสร้างสมดุลในการส่งออกไปยังตลาดต่างๆที่มีศักยภาพเพิ่มเติม เช่น เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา รัสเซีย ญี่ปุ่น และเกาหลี เป็นต้น รวมถึงจะผลักดันการค้าออนไลน์ร่วมกับแพลตฟอร์มชั้นนำในตลาดอื่นๆ ด้วย เช่น อินเดีย สหรัฐฯ ไต้หวัน กัมพูชา มาเลเซีย เป็นต้น
นายสมเด็จ กำชับทูตพาณิชย์ทั่วโลกสร้างความมั่นใจถึงมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสให้กับนักธุรกิจทั่วโลก ที่จะเดินทางมาเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติในไทย โดยเฉพาะการจัดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ครั้งที่ 65 วันที่ 25-29 ก.พ.เช่น การติดตั้งจุดคัดกรองโรค เครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย ห้องปฐมพยาบาล เจลทำความสะอาดมือ หน้ากากอนามัย พร้อมถังขยะสำหรับทิ้งหน้ากากอนามัยโดยเฉพาะ เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคทั่วบริเวณงาน รวมทั้งอยู่ระหว่างเตรียมการหารือและร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเพิ่มมาตรการป้องกันและมาตรการรองรับอื่นๆต่อไป
ไม่ต้องห่วง! 3 คนไทยที่ไม่ได้กลับบ้าน กต.ช่วยเหลือดูแล
รายงานจากกระทรวงการต่างประเทศ ระบุถึง เรื่องคนไทย 3 คนที่ไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลจีนให้เดินทางด้วยเที่ยวบินพิเศษ ออกจากอู่ฮั่น กลับประเทศไทย เมื่อวันที่ 4 ก.พ.ว่ากระทรวงการต่างประเทศ รับทราบความคืบหน้าจากสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง จีน ว่าทั้ง 3 คน เดินทางกลับถึงที่พักในอู่ฮั่น โดยสวัสดิภาพ โดยรถเช่าที่สถานเอกอัครราชทูตไทย จัดหาให้และเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ได้ติดต่อพูดคุยทางโทรศัพท์กับคนไทย 3 คนนี้ โดย นักศึกษาไทยคนแรกมีอาการปกติ นักศึกษาคนที่ 2 ยังมีอาการเจ็บคอและไอ แต่ไม่มีไข้ และทานยารักษาตามอาการ ส่วนคนที่ 3 ติดปัญหาการพำนักในจีนเกินกำหนด ซึ่งเราได้รับทราบว่าเขาจะไปจ่ายค่าปรับที่สถานีตำรวจ ในวันที่ 6ก.พ. อย่างไรก็ตาม สถานเอกอัครราชทูตไทย ได้แจ้งทั้ง3คนว่ายินดีและพร้อมให้คำแนะนำช่วยเหลือและตอบคำถามโดยสามารถติดต่อได้ตลอดเวลา
น้ำมันโลกเพิ่มขึ้น หลังมีข่าวค้นพบวัคซีนต้านไวรัสโคโรนา
ความเคลื่อนไหวสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้น 1.14 ดอลลาร์สหรัฐฯ ปิดที่ 50.75 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ลอนดอนงวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 1.32 ดอลลาร์สหรัฐฯ ปิดที่ 55.28 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันดิ่งลงหนักมาหลายวัน ท่ามกลางความกังวลว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ค้นพบยารักษาเชื้อไวรัสอย่างได้ผล ขณะที่ สกายนิวส์ของอังกฤษ ระบุว่า นักวิจัยมีความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการพัฒนาวัคซีนตัวหนึ่งสำหรับรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส แม้องค์การอนามัยโลกออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าวและบอกว่า ยังไม่รู้เกี่ยวกับวิธีการรักษาเชื้อไวรัสที่ได้ผล แต่รายงานข่าวนี้ช่วยดันให้ราคาน้ำมันโลกพุ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมัน ยังได้แรงหนุนจากข่าวที่ว่าโอเปกและพันธมิตรผู้ผลิตหลักอื่นๆ กำลังพิจารณาลดกำลังผลิตเพิ่มเติม เพื่อตอบสนองต่ออุปสงค์น้ำมันดิบโลกที่อ่อนแอลง ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน จากข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ดีของสหรัฐฯและคลายกังวลผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 483.22 จุด ปิดที่ 29,290.85 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 37.10 จุด ปิดที่ 3,334.69 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 40.71 จุด ปิดที่ 9,508.68 จุด ราคาทองคำ ฟื้นตัวแรง หลังจากหนึ่งวันก่อนหน้านี้ แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนม.ค. ทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 7.30 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,562.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ดัชนีความเชื่อมั่นทุกรายการลดลง ผู้บริโภค กังวลศก.ฟื้นตัวช้า
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ม.ค. ที่สำรวจจากประชาชนตัวอย่างทั่วประเทศ 2,247 คน ว่าดัชนีปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ที่ 67.3 ลดจาก 68.3 เทียบกับเดือน ธ.ค.2562 ต่ำสุดในรอบ 69 เดือน นับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2557 ดัชนีความเชื่อมั่นในปัจจุบันอยู่ที่ 45.0 ลดจาก 45.8 ต่ำสุดในรอบ 220 เดือน ตั้งแต่เดือน ต.ค.2544 ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคต (อีก 6 เดือนข้างหน้า) อยู่ที่ 76.8 ลดจาก 78.1 ต่ำสุดในรอบ 68 เดือน นับตั้งแต่เดือน มิ.ย.2557 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 54.9 ลดจาก 56.0 ต่ำสุดในรอบ 69 เดือน ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานอยู่ที่ 63.8 ลดจาก 64.8 ต่ำสุดในรอบ 217 เดือน นับจากเดือน ม.ค.2545 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 83.0 ลดจาก 84.2
ดัชนีความเชื่อมั่นทุกรายการปรับตัวลดลง มาจากความกังวลต่อเชื้อไวรัสโคโรนาที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประชาชน การทำธุรกิจ และกรณีเงินบาทอ่อนค่า มีผลต่อเงินไหลเข้าประเทศและราคาสินค้าส่งออก การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 ที่ล่าช้า ภัยแล้ง ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ราคาพืชผลเกษตรยังต่ำ และดัชนีหุ้นลดลง ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าและยังกระจุกตัว รวมทั้งกังวลค่าครองชีพและราคาสินค้าทรงตัว อยู่ในระดับสูง รายได้ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น
คาดใช้จ่ายวันวาเลนไทน์ ต่ำสุดในรอบ 7 ปี
อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายช่วงวันวาเลนไทน์ในปี 2563 สำรวจจากตัวอย่างประชาชนทั่วประเทศ 1,234 คน ระหว่างวันที่ 27 ม.ค.-2 ก.พ. คาดว่าจะมีมูลค่าการใช้จ่าย 3,246.97 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.23 จากปีก่อนที่มีมูลค่าการใช้จ่าย 3,701.22 ล้านบาท และเป็นมูลค่าต่ำสุดในรอบ 7 ปี หากพิจารณารายละเอียด พบว่า ประชาชนมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนที่ 1,814 บาท ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ที่ 2,318.96 บาท โดยกลุ่มที่มีการใช้จ่ายมากที่สุดคือ กลุ่มเจนวาย (เกิดปี 2524-2543) เฉลี่ย 2,205 บาทต่อคน รองลงมาเป็น เจนเอ็กซ์ (เกิดปี 2508-2523) 1,766 บาท, เบเบี้มูมเมอร์ (เกิดปี 2489-2507) 1,532.6 บาท และเจนแซด (เกิดหลังปี 2543) 810.53 บาท สำหรับสาเหตุที่ใช้จ่ายลดลง เป็นเพราะราคาสินค้าสูงขึ้น เศรษฐกิจไม่ดี รายได้ลดลง ประหยัด/วางแผนการใช้เงิน มีหนี้สินเพิ่มขึ้น รวมถึงได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัส และ ฝุ่น PM 2.5 เป็นต้น
กิจกรรมและการซื้อสินค้าที่ใช้จ่ายสูง เช่น เที่ยวในประเทศ เฉลี่ย 5,597 บาทต่อคน, ไปบ้านแฟน 2,146 บาท, ซื้อของขวัญ 1,411 บาท, ทานข้าวนอกบ้าน 1,384 บาท, เดินห้าง 923 บาท, ซื้อดอกไม้ 591 บาท, ช็อกโกแลต 455 บาท, ดูหนัง 433 บาท เป็นต้น ส่วนของขวัญที่ต้องการจากคู่รักมากที่สุดคือ การบอกรัก, ของขวัญ, พาไปรับประทานอาหาร, ดอกไม้, ช็อกโกแลต
CR:กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ