ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 19.30 น.วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2563
กระทรวงการต่างประเทศประชุมหน่วยงานเกี่ยวข้องเตรียมให้ความช่วยเหลือคนไทยในอิหร่าน-อิรัก
น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า วันนี้(9 ม.ค.) กระทรวงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมหารือในกรอบคณะทำงานศูนย์ประสานงานฉุกเฉิน (Rapid Response Center - RRC) โดยมีนายธนา เวสโกสิทธิ์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน เพื่อประเมินสถานการณ์ความตึงเครียดในอิรัก จากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน และบูรณาการเตรียมพร้อมการให้ความช่วยเหลือคนไทยในอิรักและอิหร่าน รวมทั้งมุ่งให้การสนับสนุนสถานเอกอัครราชทูตที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนเผชิญเหตุ พร้อมติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของความตึงเครียดในอิรักและอิหร่านอย่างใกล้ชิดด้วยความห่วงกังวล
ทั้งนี้ ตั้งแต่เกิดสถานการณ์ กระทรวงการต่างประเทศโดยสถานเอกอัครราชทูตในภูมิภาคตะวันออกกลางได้ประกาศแจ้งเตือนคนไทยในพื้นที่ต่าง ๆ แล้ว ได้แก่ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอัมมาน ได้ออกประกาศแนะนำให้ผู้ที่จะเดินทางไปอิรัก ยกเว้นการเดินทางชั่วคราวจนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟและสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโรออกประกาศแจ้งเตือนคนไทยในอิสราเอลและอียิปต์เพิ่มความระมัดระวัง โดยสถานเอกอัครราชทูตทั้งสามแห่งได้ประชาสัมพันธ์ช่องทางการติดต่อสถานเอกอัครราชทูตในกรณีฉุกเฉินไว้แล้ว จากการประเมินสถานการณ์สถานเอกอัครราชทูตทั้ง 2 แห่ง เห็นว่าสถานการณ์ยังไม่มีความรุนแรงที่จะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตตามปกติของคนไทยในพื้นที่ โดยยังใช้ชีวิตตามปกติ
ที่ประชุมพิจารณาแผนเผชิญเหตุและแผนอพยพคนไทย ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการ ของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอัมมาน โดยคณะทำงาน RRC ได้ขอให้สถานเอกอัครราชทูตฯ ที่เกี่ยวข้องปรับแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน หากมีความจำเป็น จะประชุม RRC เพื่อประเมินสถานการณ์และพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลืออีกครั้ง
ประชุมครม.สัญจรนราธิวาส20-21ม.ค.
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ในเดือนม.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอขา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม มีดำริให้จัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่(ครม.สัญจร) ขึ้น ซึ่งเดิมได้มีการเสนอให้จัดประชุมที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและลงพื้นที่จังหวัดกระบี่ ระหว่างวันที่ 20-21 มกราคม แต่จากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันอังคาร ที่ 7 ม.ค. พล.อ.ประยุทธ์ ได้เสนอให้เปลี่ยนเป็นที่จังหวัดนราธิวาสแทน มีกำหนดการตรวจราชการเพื่อติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาเศรษฐกิจสังคม และสร้างความสงบสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามนโยบายรัฐบาล
'เสี่ยไอซ์'ยัดสาวไซด์ไลน์ในหีบ ขังทั้งเป็น-ขาดใจตาย
หลังตำรวจได้บุกจับกุม นายอภิชัย หรือเสี่ยไอซ์ องค์วิศิษฐ์ อายุ 40 ปี ลูกชายเจ้าของตลาดองค์วิศิษฐ์ย่านบางแค ภายในบ้านพักซอยเพชรเกษม 47 หลังจากถูกซัดทอดจากลูกน้องคนสนิทคือ นายเฉลิมชล งะบัว ว่า เมื่อหลายเดือนที่แล้วเพิ่งช่วยเจ้านายในการขุดหลุมฝังศพ น.ส.กิ๊ก (นามสมมุติ) อายุ 22 ปี สาวไซด์ไลน์ ภายในสวนมะม่วง พอขุดหลุมก็เจอร่างเหยื่อจริงๆในสภาพเน่าเปื่อย แต่ตัวเสี่ยไอซ์ยังให้การปฏิเสธ
ล่าสุด ตำรวจได้นำตัว นายเฉลิมพล ไปชี้จุดที่ช่วยเจ้านายฝังร่าง น.ส.กิ๊ก โดยพฤติการณ์การสอบสวนสืบสวนของตำรวจนั้นพบว่า นายเฉลิมชล เป็นลูกน้องของ นายอภิชัย และติดยาเสพติดงอมแงมจนมีอาการหลอน ต่อมาโดนตำรวจจับกุมในคดียาเสพติดและถูกคุมตัวมาดำเนินคดี ซึ่งช่วงที่ถูกคุมตัวมีอาการหลอนยาถึงขั้นหลุดปากพร่ำเพ้อว่ามีวิญญาณหญิงสาวตามหลอกหลอนตลอด เหตุเพราะไปช่วยเจ้านายฝังศพอำพรางคดี
เมื่อได้สติขึ้นมาตำรวจจึงจับประเด็นและเค้นสอบอย่างหนักว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร กระทั่งสุดท้าย นายเฉลิมพล ก็ยอมรับสารภาพเปิดปากว่า นายอภิชัย ได้ติดต่อเรียกใช้บริการกับ น.ส.กิ๊ก แต่พอมาถึงที่บ้านหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจกลับทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง รวมทั้งใช้ของแข็งทุบตีศีรษะจนผู้ตายบาดเจ็บหมดสติ
แต่ขณะนั้นเหยื่อสาวยังไม่เสียชีวิตแค่หมดสติเท่านั้น ก่อนที่ นายอภิชัย จะจัดการอุ้มร่างไปยัดใส่ไว้ในหีบเหล็กขนาด 40 x 80 ซม. พยายามยัดอวัยวะทุกส่วนทั้งยัดทั้งอัดจนสามารถเอาเข้าไปในหีบได้ จากนั้นก็ล็อกกุญแจทันทีแล้วทิ้งไว้อย่างนั้นอยู่นาน สุดท้ายเหยื่อสาวก็หมดอากาศหายใจเสียชีวิตทรมาน พอรู้ว่าเสียชีวิตแน่นอนแล้ว นายอภิชัย ก็สั่งให้ นายเฉลิมชล มาช่วยนำศพออกจากหีบเหล็กและขุดดินฝังศพอำพรางคดีดังกล่าว
พฤติกรรม"บูลลี่"ใน "ไทย" ติดอันดับ 2 โลก
เครือข่ายปกป้องเด็กและเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยงทางสังคม ร่วมกับ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว และเครือข่ายนักกฎหมายเพื่อเด็กและเยาวชน สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนาหัวข้อ “BULLYING กลั่นแกล้ง ความรุนแรงที่รอวันปะทุ” เพื่อหาทางออกและวิธีแก้ไขปัญหาเด็กโดนกลั่นแกล้ง หรือ บูลลี่
เครือข่ายนักกฎหมายเพื่อเด็กและเยาวชน ได้ลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นเรื่อง “บูลลี่ กลั่นแกล้ง ความรุนแรง ในสถานศึกษา” ในกลุ่มเด็กอายุ 10-15 ปี จาก 15 โรงเรียน พบว่า ร้อยละ 91.79 เคยถูกบูลลี่ วิธีที่ใช้บูลลี่มากที่สุดคือ การตบหัว ร้อยละ 62.07 รองลงมา ล้อบุพการี ร้อยละ 43.57 พูดจาเหยียดหยาม ร้อยละ 41.78 และอื่นๆ เช่น นินทา ด่าทอ ชกต่อย ล้อปมด้อย พูดเชิงให้ร้าย เสียดสี กลั่นแกล้งในสื่อออนไลน์
นอกจากนี้ 1 ใน 3 หรือ ร้อยละ 35.33 ระบุว่า เคยถูกกลั่นแกล้งประมาณเทอมละ 2 ครั้ง ที่น่าห่วงคือ 1 ใน 4 หรือ ร้อยละ 24.86 ถูกกลั่นแกล้งมากถึงสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ส่วนคนที่แกล้งคือ เพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง
ร้อยละ 68.93 มองว่า การบูลลี่ ถือเป็นความรุนแรงอย่างหนึ่ง สำหรับผลกระทบที่เห็นได้ชัด ร้อยละ 42.86 คิดจะโต้ตอบเอาคืน ร้อยละ 26.33 มีความเครียด ร้อยละ 18.2 ไม่มีสมาธิกับการเรียน ร้อยละ 15.73 ไม่อยากไปโรงเรียน ร้อยละ 15.6 เก็บตัว และร้อยละ 13.4 ซึมเศร้า นอกจากนี้ เด็กๆ ยังต้องการให้ทางโรงเรียนมีบทลงโทษที่ชัดเจน มีครูให้คำปรึกษา จัดกิจกรรมสร้างความเข้าใจ
สังคมไทยต้องเลิกมองเรื่องบูลลี่ กลั่นแกล้งกัน เป็นเรื่องเด็กๆ ปกติแล้วปล่อยผ่าน ต้องให้ความสำคัญ และสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่ถูกต้อง เร่งปลูกฝังเรื่องการเคารพสิทธิเนื้อตัวร่างกาย การให้เกียรติกัน ทั้งในระดับครอบครัวและในสถานศึกษา กระทรวงศึกษาธิการก็ต้องให้ความสำคัญกับปัญหา ควรกำหนดให้สถานศึกษามีช่องทางให้เด็กๆ สามารถบอกเล่าปัญหา เพื่อขอความช่วยเหลืออย่างเป็นมิตร และปิดลับ หากสถานศึกษาไม่สามารถรับมือกับปัญหาจะสุ่มเสี่ยงที่ปัญหาจะใหญ่ขึ้น
ด้าน น.ส.ฐาณิชชา ลิ้มพานิช ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว กล่าวว่า จากงานวิจัยของกรมสุขภาพจิต พบว่า การใช้ความรุนแรง การข่มเหงรังแกกันหรือการบูลลี่ ในประเทศไทยติดอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหมายความว่า การบูลลี่ในไทยมีระดับความถี่ที่รุนแรง ทั้งยังพบว่าอายุเด็กที่ถูกบูลลี่ จะน้อยลงไปเรื่อยๆ เด็กที่รังแกคนอื่น มีพื้นฐานด้านการขาดอำนาจบางอย่างในวัยเด็ก ถูกการเลี้ยงดูเชิงลบ รวมถึงพันธุกรรมทางสมอง จนนำไปสู่การรังแกกลั่นแกล้งคนอื่นในวัยที่โตขึ้น พฤติกรรมนี้จะเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นความเคยชิน ทำได้แนบเนียนและรุนแรงขึ้น
ส่วนเด็กที่ถูกบูลลี่ จะมีอาการซึมเศร้า ไม่อยากไปโรงเรียน บางรายอาจถึงขั้นคิดสั้น ทั้งนี้ผู้ปกครองอย่าปล่อยให้เด็กเผชิญปัญหาเพียงลำพัง ต้องคอยสังเกตอาการและสอบถาม เมื่อเด็กส่งสัญญาณที่ผิดปกติ เช่น ดูหงุดหงิด วิตกกังวล มีความกลัว ไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากคุยกับใคร หรือมีร่องรอยตามร่างกาย ผู้ปกครองควรสร้างบรรยากาศแห่งความไว้ใจ ชวนคุยให้เขาเล่าปัญหาเพื่อช่วยหาทางออก หารือกับครูที่ปรึกษา ข้อสำคัญคือการเป็นแบบอย่างที่ดี ทำให้เด็กนำสิ่งเหล่านี้ไปแก้ปัญหา รวมถึงการเลี้ยงดูเชิงบวก
หุ้นปิดพุ่ง 20.37 จุด คลายกังวลสถานการณ์ตะวันออกกลาง
ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 1,579.64 จุด เพิ่มขึ้น 20.37 จุด (+1.31%) มูลค่าการซื้อขาย 66,545.96 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตามการฟื้นตัวของตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นเอเชียและยุโรป รวมถึงดาวโจนส์ฟิวเจอร์ส ต่างอยู่ในแดนบวก หลังจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางผ่อนคลายลงจากที่สหรัฐฯระบุว่าจะไม่มีการตอบโต้อิหร่านด้วยกำลังทางทหาร ทำให้นักลงทุนสบายใจขึ้นในช่วงสั้น
ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียวปิดพุ่งขึ้นกว่า 500 จุดในวันนี้ หลังจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน ดัชนีนิกเกอิปิดพุ่งขึ้น 535.11 จุด แตะที่ 23,739.87 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 ธ.ค. 2562
ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดพุ่งขึ้นในวันนี้ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชีย เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตะวันออกกลาง หลังจากประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์แถลงยืนยันว่า ไม่มีทหารอเมริกัน เสียชีวิต หลังจากอิหร่าน ยิงขีปนาวุธถล่มฐานทัพสหรัฐฯ ในอิรัก และไม่ได้ระบุถึงการใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อตอบโต้ อิหร่าน ดัชนีฮั่งเส็งปิดบวก 473.08 จุด ที่ระดับ 28,561.00 จุด
ควันเอลิซาเบธที่ 2 เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และเจ้าชายวิลเลียมทรงทราบข่าวการลดบทบาทในฐานะเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของดยุคและดัสเชสแห่งซัสเซกซ์ “เป็นครั้งแรกผ่านทางโทรทัศน์”
แถลงการณ์ที่ออกมาช็อกโลกผ่านเพจอินสตาแกรมของเจ้าชายแฮร์รี และเมแกน มาร์เคิล จะเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีสมาชิกราชวงศ์รับทราบมาก่อน เดลีเมล์ของอังกฤษรายงานว่า สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ มกุฎราชกุมารแห่งอังกฤษ และเจ้าชายวิลเลียมจะทราบข่าวการลดบทบาทในฐานะสมาชิกราชวงศ์ชั้นสูงจากการรายงานข่าวทางโทรทัศน์ รวมถึง ข้าราชบริพารใกล้ชิดของดยุคและดัสเชสแห่งซัสเซกซ์ยังออกมายอมรับว่าไม่เคยระแคะระคายในเรื่องนี้มาก่อน โดยหนึ่งในแหล่งข่าวเปิดเผยว่า ดูเหมือนทั้งสองพระองค์จะทรงวางแผนในเรื่องนี้ระหว่างการเสด็จเยือนแคนาดาเป็นเวลา 6 สัปดาห์
แถลงการณ์ที่ออกมาจากสำนักงานพระราชวังบักกิงแฮม ได้ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าการหารือร่วมกับทั้งสองพระองค์เป็นสิ่งที่ยากลำบากจากการที่ทั้งสองพระองค์ทรงประกาศความต้องการที่จะแยกตัวออกห่างจากราชวงศ์อังกฤษ