*ก.พาณิชย์ขอ 4เจ้าสัวค้ำศก./ก.คลังยังไม่ปรับเงินขรก./เริ่มจ่ายเงินชาวนา20 ต.ค.*

03 ตุลาคม 2557, 08:45น.


*ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 08.30น.



+++กระทรวงพาณิชย์ได้เชิญผู้นำธุรกิจรายใหญ่ 4 ราย ในธุรกิจที่ครอบคลุมทั้งการค้าสินค้าเกษตร การค้าปลีก การบริโภค ประกอบด้วย นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการบริหารบริษัทไทยเบฟเวอร์เรจ จำกัด (มหาชน)  นางศิรินา ปวโรฬารวิทยา ประธานกิตติมศักดิ์ บริษัทบูติกนิวซิ้ตี้ จำกัด(มหาชน)ในเครือสหพัฒน์ และนายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จำกัด (มหาชน) เข้าหารือเพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องมาตรการราคาสินค้า การผลิต โอกาสในการส่งออก และความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อกำหนดนโยบายเชิงรุกในการส่งเสริมเศรษฐกิจในประเทศและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ



+++ พล.อ. ฉัตรชัย กล่าวหลังหารือว่า ได้ชี้แจงนโยบายการทำงานของรัฐบาลทั้งระยะสั้น ที่เน้นการแก้ปัญหาที่มีอยู่ในช่วงนี้ และระยะยาวที่ต้องการวางรากฐานการปฏิรูปประเทศต่อไป ซึ่งอยากให้เอกชนมีส่วนช่วยในการทำงานและหากมีอะไร ที่จะกระทบกับแผนการปฏิรูป ก็ขอให้ดำเนินการอย่างระมัดระวัง   นอกจากนี้ ได้หารือเรื่องราคาสินค้าเกษตรซึ่งกระทรวงพาณิชย์ มีแผนระยะยาวที่ต้องการให้สินค้ามีคุณภาพและแข่งขันได้ ในการเข้าร่วมเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ส่วนเรื่องราคาสินค้า ขอย้ำว่าไม่ได้ขอให้มีการตรึงราคาแต่ให้รักษาระดับราคาสินค้าไว้ไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน แต่กระทรวงฯไม่ต้องการไปแตะกลไกตลาด ซึ่งเอกชนก็แสดงความเห็นด้วย สถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรในปัจจุบันว่า ไม่ได้ขอให้เอกชนช่วยเรื่องใดเป็นพิเศษ ในส่วนราคาข้าวเปลือกเจ้าปัจจุบันขยับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ตันละ  8,000 บาท และจะเพิ่มขึ้นอีก ส่วนราคาข้าวสารส่งออกที่ ปรับตัวลดลง เชื่อว่ามาจากปัจจัยด้านอื่นมากกว่า  ต่ยืนยันว่าปีนี้ การส่งออกจะไม่ติดลบอย่างแน่นอน แต่จะขยายตัวเท่าใดเรื่องนี้ต้องช่วยกันดูแลและสร้างความเชื่อมั่นเพื่อให้การส่งออกกลับมากระเตื้องอีกครั้ง



+++7 ต.ค.นี้  รัฐบาลประชุมร่วมคสช. ประเมินสถานการณ์ จ่อเลิกกฎอัยการศึก"พื้นที่ ท่องเที่ยว" พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา ให้รัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาข้อดี ข้อเสียและผลกระทบ กรณีหากจะยกเลิกกฎอัยการศึกในบางพื้นที่



นายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงในทุกประเด็น รวมถึงคำทักท้วง จากฝ่ายต่างๆ แม้เรื่องเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่ความมั่นคงก็เป็น เรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึง เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ต้องประเมินทุกอย่างด้วยความรอบคอบและ เอาเหตุผลมาพิจารณากัน



+++ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ  ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่านอกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลเพิ่งประกาศออกไปนั้น ในอนาคตจะมีมาตรการใหม่เพิ่มเติมอย่างแน่นอน และจะมีออกมาอีกเยอะด้วย โดยขณะนี้ได้เตรียมการไปบางส่วนแล้ว ส่วนจะเป็นโครงการอะไรบ้างนั้น ต้องรอให้ผ่านความเห็นจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) ก่อน  สำหรับมาตรการกระตุ้นที่ครม.เห็นชอบ รวมกว่า 3.6 แสนล้านบาทนั้น เป็นงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นเงินคงเหลือจากโครงการไทยเข้มแข็ง และงบกลางปี ซึ่งรวมกัน 2.3 หมื่นล้านบาท เงินส่วนนี้สามารถนำมาเบิกจ่ายได้ทันทีภายในเดือนต.ค.-พ.ย.นี้



ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวด้วยว่า งบส่วนนี้เป็นการจ้างงานผ่านโครงการย่อยๆ ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมอาคารเรียน จัดหาครุภัณฑ์ สร้างอาคารเรียนใหม่ รวมกว่า 8,000 โรงเรียน และการซ่อมแซม หรือสร้างสถานพยาบาลใหม่กว่า 1,000 แห่ง ทั่วประเทศ จึงเชื่อว่าประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจจะมากกว่าการจ้างงานผ่านโครงการใหญ่แค่โครงการเดียว



+++นายประสาร ไตรรัตนวรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะช่วยเหลือเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยโดยอนุมัติเงินช่วยเหลือชาวนาวงเงินรวม 4 หมื่นล้านบาท ถือเป็นมาตรการที่ดีที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเบิกจ่ายของภาครัฐ เพราะการใช้จ่ายภาครัฐมีบทบาทสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าการอนุมัติเม็ดเงิน 5.5 หมื่นล้านบาท จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ



+++ส่วนเม็ดเงิน 4 หมื่นล้านบาทจะจ่ายให้กับชาวนาไร่ละ 1,000 บาท จำกัดคนละไม่เกิน 15 ไร่ หรือรายละไม่เกิน 15,000 บาท เป็นการควบคุมประสิทธิภาพการใช้เม็ดเงิน ไม่ให้ใช้เม็ดเงินส่วนรวมไปช่วยคนรวย เพราะชาวนารายใหญ่ก็มีอยู่ และยังไม่บิดเบือน กลไกตลาดและทำในระยะเวลาเพียง 1ปี มาตรการนี้เป็นมาตรการระยะสั้น ที่เข้ามาช่วยในภาวะราคาข้าวตกต่ำ แต่ควรมีมาตรการระยะยาวเข้ามาปรับปรุงระบบการผลิตและการจัดการผลผลิต



+++นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงการอนุมัติให้ช่วยเหลือชาวนา 3.4 ล้านครอบครัว แบ่งเป็น ชาวนาที่มีที่ดิน 15 ไร่ขึ้นไป จะได้รับเงินช่วยค่าต้นทุนการผลิตครอบครัวละ 15,000 บาท ซึ่งมีจำนวน 1.6 ล้านครอบครัว และชาวนาที่มีที่ดินไม่เกิน 15 ไร่ จะได้รับเงินช่วยค่าต้นทุนการผลิต 1,000 บาทต่อไร่ ซึ่งมีจำนวน 1.8 ล้านครอบครัวนั้น จะโอนเข้าบัญชีของชาวนาโดยตรง และจะเริ่มจ่ายตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค.นี้



+++ด้าน นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ขณะนี้กรมส่งเสริมการเกษตร จะดำเนินการเรื่องการขึ้นทะเบียนเกษตรกร ซึ่งจะใช้ฐานข้อมูลเดิมที่เกษตรกรมาขึ้นทะเบียนขอรับสิทธิ์ลดดอกเบี้ย 3% ซึ่งขณะนี้มีเกษตรกรมาขึ้นทะเบียนแล้ว 2.8 ล้านราย คิดเป็น 88% จากชาวนาทั้งหมด 3.4 ล้านราย เมื่อเกษตรกรได้รับรองแล้วก็ให้มาแสดงตนที่สาขาของ ธ.ก.ส. พร้อมกับนำสมุดบัญชีเงินฝากมาแสดง หลังจากนั้น ธ.ก.ส.จะตรวจสอบข้อมูลว่าตรงกับฐานข้อมูลที่มีอยู่หรือไม่ หากข้อมูลตรงกันก็จะคำนวณเงินช่วยเหลือสำหรับเกษตรกรปลูกข้าวที่มีที่ดินเกิน 15 ไร่ และไม่เกิน 15 ไร่ แล้วจะโอนเงินเข้าบัญชีภายใน 3 วัน



+++นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เชื่อว่า มาตรการที่ออกมาจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก โดยก่อนหน้านี้ ได้หารือกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ท่านบอกว่า เงินท้องถิ่นได้จ่ายออกเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้วพอสมควร ก็จะพยายามทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ถึง ร้อยละ2  และ อาจจะเกิน  ถ้าส่งออกขยายตัวได้ดี และไม่มีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่คิด



+++สำหรับการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ นายสมหมายกล่าวว่ายังไม่สามารถดำเนินการได้ในระยะนี้ เพราะมองว่าไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม และเชื่อว่า ข้าราชการน่าจะทนรอได้ เนื่องจากขณะนี้ต้องโฟกัสไปที่การช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาราคาพืชผลตกต่ำเป็นหลัก



+++ส่วนบ่ายวันนี้  เวลา 13.30 น. พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมีวาระพิจารณาอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนสำหรับโครงการที่ยังค้างอยู่กว่า 4 แสนล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย จับตา จะมีการอนุมัติโครงการรถอีโคคาร์ที่ค่ายรถยนต์ขอรับการส่งเสริมการลงทุน 4-5 โครงการด้วย



+++'ศิริราช'ผลิตยาต้นแบบฆ่า'เชื้ออีโบลา'สำเร็จครั้งแรกของโลก ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมด้วยทีมวิจัย ร่วมแถลงข่าวศิริราชผลิตแอนติบอดี้รักษาโรคไข้เลือดออกอีโบลาสำเร็จว่า ปัญหาโรคไวรัสอีโบลามีความรุนแรงถึงขั้นวิกฤต ทีมวิจัยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชจึงนำองค์ความรู้เดิมเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกมาพัฒนาเพื่อผลิตเป็นแอนติบอดี้ ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่นำมาพัฒนาเป็นยาชีววัตถุ (Biotechnology Drug) ใช้รักษาโรคอีโบลา โดยศิริราชทำได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของประเทศไทยและของโลก



ไม่ได้อวดอ้างเกินจริง ยาชีววัตถุดังกล่าวทำงานคล้ายกับเซรุ่มเหมือนรักษาพิษงู แต่ไม่ได้ผลิตจากสัตว์เหมือนเซรุ่ม แต่ผลิตมาจากสารสังเคราะห์จากรหัสพันธุกรรมของไวรัสอีโบลาร่วมกับยีนของมนุษย์ ทำให้ยาดังกล่าวไม่มีผลข้างเคียงต่อมนุษย์ ความสำเร็จครั้งนี้แม้จะเป็นระดับห้องปฏิบัติการ แต่สามารถใช้ได้จริงในกรณีผู้ป่วยติดเชื้ออีโบลาที่จำเป็นต้องใช้ยา คาดว่าใช้เวลา 1 ปี อย่างไรก็ตาม การวิจัยของศิริราชเป็นเพียงระดับห้องปฏิบัติการ จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ  โดยจะรายงานไปยังองค์การอนามัยโลกถึงความสำเร็จดังกล่าว และจะขยายการผลิตมากขึ้นโดยความร่วมมือกับบริษัทสยามไบโอไซเอ็นซ์ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล และบริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด ในสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์



+++ไทยได้เหรียญทองเหรียญที่ 10แล้วจากเซปรัคตะกร้อทีมหญิง หลังไทยชนะ เกาหลีใต้เจ้าภาพ  2เซท รวด 21:12 และ 21:16

ข่าวทั้งหมด

X