หลังการยื่นประกันตัวนาย สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา จากกรณีที่นาย สุรพงษ์ ออกหนังสือเดินทางพาสปอร์ตให้แก่นาย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นาย ปรีชา ศรีเจริญ ทนายความนายสุรพงษ์ เปิดเผยว่า หลังจากนี้จะปรึกษากับทีมทนายความหาทางสู้คดีต่อ โดยมีประเด็นที่ต้องพิจารณากันอยู่อีก 4-5 ประเด็นเกี่ยวกับการขัดกันของตัวบทกฎหมายและขัดกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งก่อนหน้านี้ทีมทนายได้ส่งประเด็นดังกล่าวผ่านไปยังศาลฎีกาฯ เพื่อขอให้ส่งต่อไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความแล้ว แต่ศาลฎีกาฯ ไม่ได้ส่งต่อและได้วินิจฉัยเอง จึงเป็นคำถามว่าใครจะเป็นผู้ตีความในหลักกฎหมายที่ยังขัดต่อรัฐธรรมนูญดังกล่าวอยู่ ทั้งนี้มองว่าควรส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ซึ่งตามกฎหมายทีมทนายไม่อาจส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยตรงได้
เบื้องต้นมีเวลาอุทธรณ์คดีรอบแรก 30 วัน แต่คาดว่าคงดำเนินการไม่ทัน เนื่องจากมีเนื้อหาที่ต้องเขียนโต้แย้งส่งไปยังศาลฎีกาฯ จำนวนหลายร้อยหน้า จึงอาจขอขยายเวลาอุทธรณ์คดีออกไปจนกว่าจะทำคำอุทธรณ์แล้วเสร็จหรือศาลฎีกาฯ จะขยายเวลาอุทธรณ์ให้เป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน จากการคุยกับนาย สุรพงษ์ ยืนยันว่าเจ้าตัวยังมีกำลังใจดี และยังยืนยันว่าไม่ได้ทำผิดต่อแผ่นดิน ปฏิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมาทุกอย่าง และเชื่อว่าสิทธิ์การถือพาสปอร์ตเป็นสิทธิ์ของคนไทยทุกคนที่ควรมี และเป็นไปตามนโยบายแต่ละรัฐบาล ไม่ใช่ว่ามีคดีแล้วจะตัดขาดไม่ให้เป็นคนไทยหรือไม่ให้ถือหนังสือเดินทางไปที่ใดได้ นายสุรพงษ์ ยังยืนยันด้วยว่าจะสู้คดีต่อไป ไม่เคยคิดหนี เพราะมั่นใจว่าไม่ได้ทำผิด อย่างวันนี้ก็เตรียมกางเกงและเสื้อผ้ามาพร้อมเพื่อต้องไปอยู่ที่เรือนจำฯ ส่วนอนาคตอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ส่วนตัวไม่ทราบเรื่องข่าวที่ว่านาย ทักษิณ แสดงความเป็นห่วงนาย สุรพงษ์ ที่มาขึ้นศาลในวันนี้ แต่ยอมรับว่านาย สุรพงษ์ มีโรคประจำตัวหลายโรค ทั้งโรคเบาหวานและความดัน ซึ่งศาลฯ ก็เมตตาอนุญาตให้ประกันตัว เพราะส่วนหนึ่งเห็นว่าสุขภาพไม่แข็งแรง
ด้านนาย สุรพงษ์ ได้เดินหลบสื่อมวลชนออกไปทางด้านหลังของศาลแขวงดอนเมืองหลังได้รับการประกันตัว โดยทนายความระบุว่านาย สุรพงษ์ ยังไม่พร้อมที่จะให้สัมภาษณ์