การเดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาของน.ส.มณีรัตน์ และ น.ส.รัตนฉัตร แสงหยกตระการ หรือป้าทุบรถ นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความในคดีของ น.ส.มณีรัตน์ และ น.ส.รัตนฉัตร พาป้าทุบรถมารับทราบข้อกล่าวหาที่สน. ประเวศ ใน 3ข้อหา คือ 1.ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ทนายความ ระบุว่าจากที่เห็นตามในคลิปกันไปแล้วนั้น ไม่ต้องระบุว่าจริงหรือไม่จริง เนื่องจากคุณป้า มีข้อพิพาทกับเขต และตลาดมาตลอดเวลากว่า 10ปี ซึ่งคุณป้า ได้ฟ้องศาลปกครอง โดยศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามตลาด ทำการใดๆที่เป็นการรบกวน ก่อความเดือดร้อน ซึ่งตลาดต้องดำเนินการทุกวิถีทางไม่ให้คุณป้าได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม
ส่วนตามข้อพิพาทนี้คือเรื่องรถที่จอดกีดขวางทางเข้าออก ถือว่าตลาดละเมิดคำสั่งศาล คนจอดรถก็ถือว่ากระทำผิดร่วมกันกับเจ้าของตลาดเช่นกัน ซึ่งคุณป้า ยืนยันว่า ยึดตามสิทธิ์ที่ควรได้รับ ในวันเกิดเหตุมีการกดแตร และโทรไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ คุณป้าพยายามทุกทางแล้ว จึงกระทำการเช่นนั้นลงไป หลังจากนั้นเมื่อเจ้าของรถ กลับมาก็มีการกล่าวว่าได้ยินเสียงแตรนานแล้วแต่ยังซื้อของไม่เสร็จ เหตุนี้จึงถือว่าเป็นการข่มเหงคุณป้าอย่างร้ายแรง รวมทั้งก่อความเดือดร้อน และวันนี้ คุณป้า จะแจ้งข้อหาก่อความเดือดร้อนเพิ่มเติม ส่วนข้อหาที่2.พกพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือโดยไม่มีเหตุอันควร ทนายความ แนะนำให้ดูข้อกฎหมายว่าคุณป้าไม่มีความผิดในข้อหานี้ เพราะข้อกฎหมาย อาวุธหมายถึงเป็นอาวุธโดยสภาพหรือไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ ที่เจตนาจะใช้ประทุษร้าย ต่อร่างกายถึงสาหัสหรือต่อชีวิต ระบุว่า คุณป้า ใช้ขวานไปทุบรถไม่ได้นำไปทำร้ายเจ้าของรถ เมื่อไม่ได้ทำร้ายเจ้าของรถถือว่าขาดองค์ความผิดในเรื่องอาวุธ และเป็นการแจ้งความเท็จ ทำให้ผู้อื่นได้รับโทษหนักขึ้น ทนายความระบุว่า คุณป้าขอเวลาตัดสินใจ 7วัน ว่าจะแจ้งข้อหากับเจ้าของรถหรือไม่ และข้อหาที่ 3.ข่มขู่ทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว ทนายความ ระบุว่า ไม่เข้าข่าย เพราะเมื่อเจ้าของรถกลับมาที่รถ นำของเก็บเข้ารถแล้ว เจ้าของยังมายืนยิ้มอยู่ตรงนั้น โดยคุณป้าไม่ได้นำอาวุธขึ้นมาข่มขู่จนอีกฝ่ายเกรงกลัว ทนายความ กล่าวเพิ่มเติมว่า การแจ้งความเกินกว่าเหตุ ถือเป็นความผิด มีสิทธิ์จำคุก 5ปี และวันนี้จะแจ้งความมาตรา 397 ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ ต่อผู้อื่น อันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคาม หรือกระทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท และภายใน 7วัน จะให้คุณป้าตัดสินใจว่าจะแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในข้อหาแจ้งความเกินกว่าเหตุหรือไม่ พร้อมทั้ง ระบุว่า เจ้าหน้าที่ต้องดูข้อกฎหมายก่อนรับแจ้งความ ต้องอยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย ซึ่งทนายความ มีการชี้แจงข้อกฎหมายกับคุณป้าเช่นกัน ข้อไหนผิดก็จะมีการรับผิด
ส่วนเรื่องความเดือดร้อนของพ่อค้าแม่ค้า คุณป้า เปิดเผยว่า ในส่วนตัวก็เห็นใจผู้ค้า ไม่ได้มีเจตนาทำให้ไม่มีที่ทำมาหากิน เพราะไม่ใช่ความผิดของผู้ค้า ต้องโทษเจ้าของตลาด และข้าราชการที่อำนวยความสะดวกจนทำให้เกิดตลาด โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น โดยทนายความ ให้ข้อมูลว่าถ้ามีการขออนุญาตทำตลาดอย่างถูกต้องในพื้นที่ดังกล่าว เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ โดยกฎหมายการจัดสรรที่ดินตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 เมื่อปี พ.ศ.2515 ซึ่งหมู่บ้านเสรีวิลล่าก็มีการบังคับใช้ตามประกาศฉบับนี้ มีการระบุชัดเจนว่า มีการจัดสรรที่ดินจำนวน 289 แปลง เพื่อที่อยู่อาศัย โดยไม่มีเรื่องของการประกอบการพาณิชย์ หรือ อุตสาหกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง สามารถสร้างที่อยู่อาศัยได้เพียงเท่านั้น หากจะมีการแก้ไขต้องเป็นผู้ขออนุญาตจัดสรรเท่านั้น ผู้รับโอนจะกระทำการเปลี่ยนผังไม่ได้
ทางคุณป้าก็ได้เพิ่มเติมว่าเหตุนี้เกิดจากกรุงเทพมหานคร และสำนักงานเขตปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยระบุว่าทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรรีบหาทางแก้ไขปัญหานี้ให้กับประชาชน จัดพ่อค้าแม่ค้าไปค้าขายในที่ที่ถูกต้อง จะได้ไม่เดือดร้อนในอนาคต ซึ่งคุณป้ายังยืนยันว่าดำเนินการในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ต้องการรักษาสิทธิ์ ที่ต่อสู้มาตลอดระยะเวลากว่า 10ปี ที่ดินจำนวน 289แปลง สำหรับที่อยู่อาศัยเท่านั้น ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ ระบุว่าทุกวันนี้ได้รับกำลังใจจากประชาชนที่ทราบข้อเท็จจริงนี้
สำหรับการประนีประนอมกับเจ้าของรถ คุณป้าขอให้มาพบกันที่สถานีตำรวจเพื่อทราบจุดประสงค์ที่แท้จริงก่อน พร้อมบอกประชาชนว่าอยากให้เกิดการบิ๊กคลีนนิ่ง กทม. เพื่อสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นภายในอนาคต เช่นเดียวกับหมู่บ้านเสรีวิลล่าที่จะกลับมาสงบสุขในอนาคตนี้ ในกรณีของคุณป้าพร้อมอโหสิกรรมให้กับเจ้าหน้าที่ เพราะทราบถึงผลเสียที่จะตามมาในอนาคต
ผู้สื่อข่าว : วริศรา ชาญบัณฑิตนันท์