ไอเอส อ้างโจมตีรถไฟใต้ดินกรุงลอนดอน อังกฤษ ยกระดับเตือนภัยขั้นสูงสุด

กลุ่มรัฐอิสลาม หรือ ไอเอส ออกถ้อยแถลงอ้างความรับผิดชอบเหตุระเบิดโจมตีรถไฟใต้ดินในกรุงลอนดอน ของอังกฤษ เมื่อวานนี้ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 29 คน นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศยกระดับเตือนภัยขั้นสูงสุด พร้อมทั้งประณามเหตุครั้งนี้ว่าเป็นการโจมตีที่ขี้ขลาด ได้ส่งทหารรักษาความปลอดภัยตามสถานที่สำคัญ ที่ต้องได้รับการคุ้มกันและไม่เปิดเป็นที่สาธารณะแทนตำรวจ ขณะที่ตำรวจราว 1,000 นาย ถูกส่งไปลาดตระเวนตามเครือข่ายคมนาคมและท้องถนนสายต่างๆ ทั่วอังกฤษ

ถ้อยแถลงของกลุ่ม ไอเอส ระบุว่า เหตุระเบิดสถานีรถไฟพาร์สันส์ กรีน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอนเป็นฝีมือของหน่วยย่อยของกลุ่ม ไอเอส ซึ่งจนถึงขณะนี้ เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ แต่ก็ชี้ว่า การสืบสวนคืบหน้าไปด้วยดี โดยอยู่ระหว่างการไล่ล่าผู้ต้องสงสัย ทั้งนี้ คนร้ายลอบวางระเบิดทำเองบนขบวนรถไฟใต้ดินที่คับคั่งไปด้วยผู้โดยสารในชั่วโมงเร่งด่วนเมื่อช่วงเช้าวานนี้ ส่งผลให้เกิดไฟลุกไหม้โบกี้โดยสาร โชคดีระเบิดทำงานไม่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม เหตุดังกล่าวสร้างความแตกตื่นในระหว่างที่ผู้คนพยายามหลบหนีออกจากสถานี ผู้โดยสารมีทั้งได้รับบาดเจ็บจากแผลไฟไหม้ และถูกเหยียบระหว่างเกิดเหตุชุลมุนวุ่นวาย แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงชีวิต เบื้องต้น เจ้าหน้าที่พบต้นตอการระเบิดเกิดจากถังน้ำสีขาวที่ถูกทิ้งไว้ภายในตู้โดยสาร ผู้บัญชาการตำรวจต่อต้านการก่อการร้ายของอังกฤษ ประเมินว่า น่าจะเป็นระเบิดแสวงเครื่องที่จุดชนวนด้วยการตั้งเวลา แต่ปฏิเสธที่จะยืนยันว่า มือระเบิดอยู่บนขบวนรถไฟเที่ยวดังกล่าวหรือไม่ 

สำหรับเหตุระเบิดโจมตีรถไฟใต้ดินของอังกฤษครั้งนี้นับเป็นเหตุโจมตีครั้งที่ 5 ในรอบ 6 เดือนของอังกฤษ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า เป็นการแสดงให้เห็นถึงเจตนาอย่างสูงและต่อเนื่องของกลุ่มก่อการร้าย แม้จะมีขีดความสามารถต่ำ

ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ทวีตข้อความระบุว่า ผู้ก่อการร้ายที่ไม่เอาถ่านอยู่เบื้องหลังการโจมตี แต่กลุ่มเหล่านี้อยู่ในสายตาของตำรวจอังกฤษแล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในกรุงลอนดอน มองว่า การทวีตข้อความดังกล่าวเป็นการคาดเดาที่ไม่เป็นประโยชน์ ขณะที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษก็ไม่ยอมรับการทวีตข้อความของประธานาธิบดีทรัมป์ เพราะเป็นเพียงการคาดเดาในสิ่งที่ยังอยู่ระหว่างการสืบสวน

ทีมต่างประเทศ

CR:news.mb.com.,AFP