นายกฯชู ดอยตุงโมเดล จัดการปัญหาป่าเสื่อมสภาพ เพิ่มพื้นที่ป่าไม้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ“ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ว่า อยากให้ทุกคนรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดย “ศาสตร์พระราชา” ของพระองค์นั้นประกอบด้วย “ตำราแม่ฟ้าหลวง”แห่งองค์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้สร้างความสำเร็จภายใต้ “โครงการพัฒนาดอยตุง” อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงรายโดนใช้เวลากว่า 30 ปี ในการพลิกฟื้นดอยตุงให้เป็นพื้นที่ทำกินของชาวไทยภูเขาและชนกลุ่มน้อย 6 เผ่า ทั้งนี้ด้วยการพัฒนาอย่างมีระบบ แบบแผน และมียุทธศาสตร์ ทำให้ภูเขาหัวโล้นกลายเป็นพื้นที่ป่า มีป่าอนุรักษ์ ป่าใช้สอย และป่าเศรษฐกิจมาแทนที่ ทุกคนได้รับสัญชาติไทยเข้าถึงระบบการศึกษา ทำให้มีรายได้เลี้ยงดูตัวเองได้

โดยรัฐบาลร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้น้อมนำองค์ความรู้ของ “ศาสตร์พระราชา” และ “ตำราแม่ฟ้าหลวง"เรื่องของการจัดการทรัพยากรป่าไม้ ดิน และน้ำ ไปปรับใช้ ในโครงการปลูกป่าสร้างคนบนวิถีพอเพียง เพื่อรักษาต้นน้ำ และบรรเทาอุทกภัย ในพื้นที่ 250,000 ไร่ ใน 3 อำเภอ ของจังหวัดน่าน รวมทั้ง ให้มีการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และส่งเสริมให้ชุมชนอยู่ร่วมกันกับป่าได้อย่างยั่งยืน ทำให้สามารถเพิ่มพื้นที่ป่าอนุรักษ์ขึ้นเป็น 60% และเปลี่ยนพื้นที่การปลูกข้าวโพดบนพื้นที่สูง ให้เป็นป่าเศรษฐกิจได้ มีผลตอบแทนสูงกว่าการปลูกข้าวโพด นอกจากนี้ได้นำแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ตาม “ดอยตุงโมเดล” ไปดำเนินการตามยุทธศาสตร์บูรณาการ สำหรับการจัดการป่าเสื่อมสภาพ บนพื้นที่สูงชัน เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่า ใน 13 จังหวัดภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง รวมทั้งนำไปใช้ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้โดยกลไกประชารัฐด้วย

สำหรับ ในวันอังคารที่ 22 พ.ย.นี้ เวลา 8.00 น.หลังเวลาเคารพธงชาติ ขอเชิญชวนคนไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศร่วมกันแสดงความอาลัยและรวมพลังแห่งความภักดี ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ในพระบรมราชจักรกรีวงศ์อย่างพร้อมเพรียงกัน ด้วยการร่วมกันถวายสัตย์ปฏิญาณและร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ณ ศาลาว่าการจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ หรือ ณ สถานที่บริเวณหน้าสำนักงานที่ตนสังกัด รวมทั้งสถานประกอบการธุรกิจเอกชนและอื่นๆ ทั่วราชอาณาจักรไทย สำหรับต่างประเทศพร้อมกัน ณ สถานเอกข้าราชทูต หรือสถานที่ที่เหมาะสม ในวันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน 2559 โดยให้มีการเคลื่อนย้ายน้อยที่สุด ทั้งนี้เพื่อให้ชาวโลกได้รับรู้ว่า คนไทยประเทศไทยมีความจงรักภักดีแด่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย