พลเรือตรีจอห์น เคอร์บี้ โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เผยว่า สหรัฐฯ ตัดสินใจใช้เครื่องบินติดอาวุธแบบไร้คนขับบินลาดตระเวนเหนือน่านฟ้ากรุงแบกแดดของอิรัก เพื่อคุ้มกันความปลอดภัยให้แก่นักการทูตและบรรดานายทหารอเมริกันเกือบ 500 นาย ที่ปฏิบัติภารกิจในอิรัก หลังจากกองทัพสหรัฐฯ เพิ่งส่งทหารเข้าไปในอิรักเพิ่มอีก 180 นาย เพื่อเป็นที่ปรึกษาด้านยุทธวิธีทางการทหารแก่รัฐบาลอิรักในการขับไล่กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงนิกายสุหนี่ที่ก่อเหตุบุกยึดเมืองสำคัญหลายแห่งของอิรัก และกำลังโอบประชิดกรุงแบกแดดทั้งจากทางตะวันออกและตะวันตก พร้อมยืนยันไม่มีนโยบายในการใช้เครื่องบินรบดังกล่าวเพื่อโจมตีกลุ่มนักรบสุหนี่ แม้ว่าเครื่องบินดังกล่าวจะบรรทุกระเบิดและขีปนาวุธพร้อมการโจมตีไว้ด้วย เครื่องบินติดอาวุธดังกล่าวจะทำงานร่วมกับเครื่องบินรบสหรัฐฯ ทั้งแบบมีคนขับและไร้คนขับที่ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนในอิรักอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว ซึ่งจะทำให้การลาดตระเวนเพิ่มขึ้นเป็น 30-50 เที่ยวต่อวัน โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวด้วยว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ไม่ได้ปฏิเสธแผนการโจมตีทางอากาศ เพื่อขับไล่กลุ่มนักรบสุหนี่ เพียงแต่ว่ายังไม่ถึงเวลาที่ต้องใช้ เนื่องจากขณะนี้กองทัพสหรัฐฯ กำลังประเมินสถานภาพของกองทัพอิรัก รวมทั้งมีการส่งทหารอเมริกันเข้าไปให้คำปรึกษาในการสู้รบแล้ว ซึ่งนับตั้งแต่รัฐบาลอิรักเผชิญกับการถูกคุกคามด้านความมั่นคงจากกลุ่มนักรบสุหนี่ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ให้คำมั่นว่าจะเร่งส่งมอบอาวุธให้แก่ทางการอิรัก ซึ่งในประเด็นนี้ โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวว่า กองทัพสหรัฐฯ จะลำเลียงขีปนาวุธ รุ่น เฮลล์ไฟร์ จำนวน 200 ลูกเข้าไปในอิรักในกลางเดือนกรกฎาคมนี้ และอีก 600 ลูกในปลายเดือน นอกจากนั้น รัฐบาลอิรักยังขอซื้อขีปนาวุธดังกล่าวเพิ่มจากสหรัฐฯ อีก 800 ลูก รวมทั้งระเบิด และวัตถุสงครามอื่นๆ เช่นเดียวกับเครื่องบินรบ เอฟ-16 ที่อิรักขอซื้อจากสหรัฐฯ ก็มีกำหนดส่งมอบให้ทางการอิรักในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าตามกำหนด เพื่อนำไปใช้ในการปราบปรามกลุ่มนักรบสุหนี่