รัฐบาลอิรักเพิ่มมาตรการด้านการทหารเพื่อปราบปรามกลุ่มหัวรุนแรงนิกายสุหนี่ และเป็นเครือข่ายกลุ่มก่อการร้ายที่ก่อเหตุรุนแรงยึดครองพื้นที่ในหลายเมืองสำคัญทางตอนเหนือของอิรัก และขณะนี้กำลังพยายามประชิดกรุงแบกแดด คำสั่งเพิ่มมาตรการด้านการทหารมีขึ้นหลังจากนายนูริ อัล-มาลิกิ นายกรัฐมนตรีอิรัก เดินทางเยือนเมืองซามาร์รา ห่างจากกรุงแบกแดดไปทางตอนเหนือราว 120 กม. ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการเผชิญหน้ากันระหว่างกลุ่มหัวรุนแรงกับทหารอิรัก
นายจอห์น เคอร์บี้ โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่า กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กำลังเตรียมความพร้อมด้านการทหาร เพื่อนำเสนอต่อประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ สำหรับใช้ในการตัดสินใจในการจัดการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในอิรัก แม้ว่าในเบื้องต้นผู้นำสหรัฐฯ จะปฏิเสธการส่งกำลังทหารภาคพื้นดินเข้าไปในอิรัก โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่า นายชัค ฮาเกล รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ได้ประชุมร่วมกับบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพหลายคน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับทางเลือกให้แก่ประธานาธิบดีโอบามา และกองทัพสหรัฐฯ จะเพิ่มความช่วยเหลือแก่รัฐบาลอิรักด้านข่าวกรอง การเฝ้าระวังภัย และการลาดตระเวนในสัปดาห์นี้ โดยปัจจุบัน สหรัฐฯ มีทหารประจำการในภูมิภาคตะวันออกกลางจำนวน 35,000 นาย พร้อมด้วยอาวุธยุโธปกรณ์อีกจำนวนหนึ่ง โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวด้วยว่า สหรัฐฯ มีความยินดีที่จะช่วยอิรักปราบปรามกลุ่มหัวรุนแรง แต่เป็นเพียงระยะสั้น เพราะในระยะยาว ผู้นำอิรักต้องรับผิดชอบดูแลความมั่นคงภายในเอง และกลุ่มหัวรุนแรงที่ก่อเหตุในครั้งนี้มีจำนวนไม่กี่พันคน จึงรู้สึกผิดหวังที่หน่วยงานด้านความมั่นคงของอิรักไม่สามารถจัดการกับกลุ่มหัวรุนแรงได้
**13.22F174 **