นายศรีราชา วงศารยางกูร ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติยื่นฟ้อง กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ต่อศาลปกครอง โดยมีผู้ถูกฟ้องจำนวน 11 ราย ฐานไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2550 และไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และมอบหมายให้นายอดิศร ร่มสน และนายสิริน ชาวเพ็ชรดี เจ้าหน้าที่สอบสวนผู้ชำนาญการ ไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เมื่อเวลา 11.30 น
นายศรีราชา กล่าวว่า ได้ใช้เวลากว่า 3 ปี ในการตรวจสอบ จึงได้ข้อมูล หลักฐานที่มีความแน่นพอในการยื่นฟ้องครั้งนี้ เพราะมีเอกสารประกอบคำฟ้องกว่า 500 หน้า ที่ผ่ามา ปตท. ใช้สิทธิแสวงหาประโยชน์จากประชาชน เกินกว่าที่ประชาชนจะแบกรับ พอผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบเรื่องกองทุนน้ำมัน ก็จะเห็นได้ว่าน้ำมันมีราคาถูกลง แต่ ปตท.ยังเป็นองค์กรที่ลึกลับ เชื่อว่า ยังมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์อีกเยอะ
สืบเนื่องจากศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษา ในคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.35/2550 เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2550 ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 คือ คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันกระทำการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้ที่ดิน เพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ รวมทั้ง แยกอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐ ออกจากอำนาจและสิทธิของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ต่อมา เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2550 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักการตามความเห็นของกระทรวงพลังงาน ที่มีนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีพลังงาน ในขณะนั้น เกี่ยวกับการแบ่งแยกทรัพย์สินอำนาจและสิทธิของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ที่จะให้เป็นของกระทรวงการคลังตามคำพิพากษา แต่จากการตรวจสอบการดำเนินการดังกล่าวพบว่า กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จ ปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อในทะเลและบนบก ที่เป็นทรัพย์สินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ซึ่งยังไม่ได้แบ่งแยกให้กระทรวงการคลัง รวมทั้ง ระบบท่อที่ได้ก่อสร้างในที่ดินของรัฐ ภายหลังการแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน โดยไม่มีผลตอบแทนคืนให้แก่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และได้รายงานผลการดำเนินการตามคำพิพากษาอันเป็นเท็จดังกล่าวนี้ต่อศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2551 โดยรายงานว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 ดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอน และลัดขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญในการแบ่งแยกทรัพย์สิน ปล่อยปละละเลยมิได้เร่งรัด ติดตาม ทวงคืนทรัพย์สินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จนกระทั้งมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครอง
การตรวจสอบ ปตท. ในครั้งนี้ ยังทำให้เชื่องโยงพบเรื่องการจัดเก็บภาษีเข้ากองทุนน้ำมันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีการโต้แย้งไปแล้วก่อนหน้านี้ เพราะเห็นการจัดเก็บภาษีต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ไม่สามารถทำได้โดยคำสั่งฝ่ายบริหาร อีกทั้งขณะนี้ยังมีคำร้องเกี่ยวกับ ปตท.อีก 2-3 เรื่อง เช่น การสร้างแทงค์เก็บน้ำมันขนาดใหญ่ที่มีราคาสูงเกินความจำเป็น ผู้ถูกฟ้องคดีจำนวน 11 ราย ได้แก่ กระทรวงการคลัง นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รต.ญ.ระนองรัตน์ สุวรรณฉวี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน นายปิยะสวัสดิ์ อัมมะระนันท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายประสิทธิ์ สืบชนะ อดีตรองอธิบดี กรมธนารักษ์ นายอำนวย ปรีมนวงศ์ อดีตที่ปรึกษาด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กรมธนารักษ์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท.
สำหรับ นายศรีราชาตั้งใจตรวจสอบเรื่อง ปตท.ให้แล้วเสร็จ และส่งคำร้องไปยังศาลปกครอง ก่อนที่จะหมดวาระการดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดินในวันนี้ นอกจากนี้ ยังระบุว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินยังมีเรื่องร้องเรียนสนามบินสุวรรณภูมิ บริษัท คิงส์พาวเวอร์ และการคิดค่าเก็บเอฟพีของการไฟฟ้า ที่ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบที่ต้องดำเนินให้แล้วเสร็จ
การยื่นคำร้องครั้ง เพื่อให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัย และมีคำสั่งดังต่อไปนี้ 1.ขอให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2550 และวันที่ 10 สิงหาคม 2553 ในส่วนที่เกี่ยวกับการส่งมอบทรัพย์สิน ประกอบด้วยที่ดินที่ได้จากการเวนคืน สิทธิการใช้ที่ดินเหนือที่ดินเอกชนและทรัพย์สินที่เป็นระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ใน 3 โครงการ คือ โครงการท่อบางปะกง-วังน้อย โครงการท่อจากชายแดนไทยพม่า-ราชบุรี และ โครงการท่อราชบุรี-วังน้อย รวมถึง โครงการท่อย่อย ซึ่งมีมูลค่าทางบัญชี ณ วันที่ 30 กันยายน 2544 ประมาณ 16,175 ล้านบาท เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว เกิดจากการแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่มีนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ดำรงตำแหน่งขณะนั้
2.ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินและโอนทรัพย์สินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศให้กระทรวงการคลัง ตามมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย วันที่ 30 กันยายน 2544 จำนวน 68,569 ล้านบาท ซึ่ง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้คืนไปแล้วประมาณ 16,175 ล้านบาท
ดังนั้น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ยังคงต้องโอนคืนทรัพย์สินให้แก่กระทรวงการคลังอีกจำนวนประมาณไม่น้อยกว่า 52,393 ล้านบาท รวมทั้ง ค่าตอบแทนและผลประโยชน์อื่นใด จากการใช้ทรัพย์สินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ได้แก่ ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร อุปกรณ์และทรัพย์สินอื่นและสิทธิ หรือสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้อาศัยใช้ประโยชน์ในการประกอบกิจการ พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายกำหนดให้ครบถ้วนต่อไป
3. เพิกถอนการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้ที่ดิน เพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ รวมทั้ง แยกอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐ ออกจากอำนาจและสิทธิของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว เพื่อให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ