การหารือระหว่างพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และ นายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ด้านกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นการแสดงให้เห็นว่าปัจจุบันความสัมพันธ์ ไทย-สหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง นายกรัฐมนตรี กล่าวต้อนรับ ผู้ช่วยรัฐมนตรีแดเนียล รัสเซล สู่ประเทศไทยเป็นครั้งที่สองของปีนี้ ซึ่งสหรัฐฯได้เน้นย้ำว่า ไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้มายาวนานและต้องการกระชับความสัมพันธ์กับไทยให้มีความมั่นคงและยั่งยืนมากขึ้น ก่อนการเดินทางเยือนในภูมิภาคนี้ นายแดเนียลได้พบหารือกับประธานาธิบดีบารัก โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งได้เล่าถึงการพบหารือกับพล.อ.ประยุทธ์ และทราบถึงสถานการณ์ในประเทศไทยที่มีความซับซ้อน โดยประธานาธิบดีโอมาบา ย้ำว่า ไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐฯและต้องการสร้างความร่วมมือที่ใกล้ชิดกับไทยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ความร่วมมือด้านความมั่นคง ด้านสาธารณสุข ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตลอดจน ความร่วมมือเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย นอกจากนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯได้ย้ำคำเชิญนายกรัฐมนตรี ในการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนวาระพิเศษ ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย และการเข้าร่วมการประชุม Nuclear Summit ที่สหรัฐฯเป็นเจ้าภาพในช่วงต้นปีหน้าด้วย
นายกรัฐมนตรี ได้ใช้โอกาสนี้ย้ำถึงเจตนารมณ์ที่สำคัญในการบริหารประเทศ โดยรักษาสมดุลระหว่างระบอบประชาธิปไตยและการคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชน และ ความมีเสถียรภาพและความมั่นคงของชาติ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถหลุดพ้นวงจรปัญหาทางการเมืองเดิม โดยย้ำว่า เป้าหมายหลักของรัฐบาลคือการปฏิรูปที่หยั่งรากลึกและนำไปสู่ประชาธิปไตยที่แข็งแรง มีรัฐบาลที่โปร่งใส มีหลักนิติธรรม และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไทยทุกคน ทั้งนี้ ประชาธิปไตยเป็นมากกว่าเพียงการเลือกตั้ง สิ่งที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ในขณะนี้ เป็นการวางรากฐานให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่มั่นคง พร้อมเชื่อว่า สหรัฐฯ จะไม่นำมาตรฐานเดียวมาพิจารณาการดำเนินการของประเทศต่างๆที่มีระดับการพัฒนาที่ไม่เท่ากัน โดยหวังว่า การที่นายแดเนียล ได้พบหารือกับภาคส่วนและบุคคลต่าง ๆ จะได้รับข้อมูลจากทุกฝ่ายตามความเป็นจริงและได้เห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลในการปฏิรูปประเทศ
นายแดเนียล กล่าวว่า ปัจจุบัน รัฐบาลสหรัฐฯ มีความเข้าใจต่อสถานการณ์ในประเทศไทยมากขึ้น แต่ยอมรับว่า สาธารณชนทั่วไปและสื่อมวลชนสหรัฐฯ ยังขาดความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับประเทศไทย ในบางประเด็น เช่น เรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก สิทธิมนุษยชนและประเด็นเรื่องการค้ามนุษย์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก รัฐบาลให้เสรีภาพสื่อและประชาชนในการแสดงออก ไม่ได้ปิดกั้น แต่ต้องไม่สร้างความขัดแย้งในสังคมเพิ่ม
นอกจากนี้ ได้ให้ความสำคัญกับการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในกระบวนการ ซึ่งสามารถแสดงความเห็นอย่างสร้างสรรค์ สำหรับประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนและการค้ามนุษย์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้เพียงฉบับเดียวเกี่ยวกับการจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งมีหลักเกณฑ์ว่า ถ้ามีผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ต้องมีการดำเนินการ 2 อย่างคือ ให้มีการพิสูจน์สัญชาติและส่งตัวกลับประเทศต้นทาง หรือ สองถ้าผู้ถูกจับกุมได้ มีหมายจับต้องนำส่งประเทศนั้นๆ ปัจจุบัน รัฐบาลกำลังเร่งแก้กฎหมายฉบับนี้อยู่ สำหรับประเด็นการค้ามนุษย์ รัฐบาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหาที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งทหารและตำรวจ ในขณะนี้มีเจ้าหน้าที่จำนวนมากโดนจำกุมตัวอยู่ในเรือนจำ โดยไม่ได้รับการละเว้นในตอนท้าย นายแดเนียล แสดงความพอใจที่ได้พบหารือกับนายกรัฐมนตรีในวันนี้ และจะรายงานผลการหารือที่เป็นประโยชน์ ไปยังกรุงวอชิงตัน ดีซี เพื่อให้สหรัฐฯ มีความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทยมากขึ้น และยืนยันความต้องการที่จะร่วมมือกับประเทศไทย อย่างสร้างสรรค์ในระดับทวิภาคีและเวทีระหว่างประเทศต่อไป
CR: แฟ้มภาพ