ในการเสวนา “การพัฒนาพรรคการเมือง เพื่อความยั่งยืนของระบอบประชาธิปไตยไทย” ที่รัฐสภา นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียนกล่าวว่า ประเทศไทยกำลังมองหาจุดสมดุลใหม่ ซึ่งมองระบอบรัฐสภาเป็นระบอบที่เหมาะสมมากที่สุด แต่พรรคการเมืองต้องไม่เข้ามาเป็นบริษัทเพื่อหาผลประโยชน์ อย่าให้เสียงประชาชนเป็นเพียงสินค้า และเสียงข้างมากเป็นใบอนุญาตที่จะทำอะไรก็ได้ ทั้งนี้หากพรรคการเมืองมีมาตรการในการแก้ไขปัญหา มีแนวทางที่ชัดเจนจะสามารถดำรงอยู่อย่างยั่งยืนและไม่มีการควบรวมเพื่อต่อรองเก้าอี้ทางการเมือง พร้อมกันนี้การเมืองจะต้องไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับระบบราชการ ซึ่งระบบราชการไทยขณะนี้อ่อนแอมากเพราะคนที่เข้ามาทำงานไม่มีความรู้ความสามารถแต่เข้ามาได้เพราะระบบอุปถัมป์
ขณะที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการปฏิวัติไม่ใช่การทางออกอย่างแท้จริงเป็นการส้รางกับดัก ไม่เช่นนั้นการที่มีประชาธิปไตยมากว่า 83 ปีกับการปฏิวัติ 19 ครั้งประเทศจะต้องดีกว่านี้ พร้อมมองว่าการลงทุนดูแลช่วยเหลือประชาชนไม่ใช่เรื่องที่ผิด และประชาชนมีความคิดเป็นของตัวเอง โดยมองจากว่าพรรคใดจะทำประโยชน์ให้แก่ตนเองในพื้นที่นั้น ๆ และที่ผ่านมาแต่ไม่ได้มีการแก้ที่รากฐานของปัญหา ซึ่งสิ่งแรกนักการเมืองและพรรคการเมืองควรใช้โอกาสที่เว้นวรรคทางการเมือง เริ่มต้นในการหันมาปฏิวัติตัวเองนำบทเรียนไปสู่การพัฒนานโยบายการแก้ปัญหาให้ประเทศชาติอย่างยั่งยืน และสนับสนุนคนที่มีคุณธรรมเข้ามาทำงาน ทำให้เป็นสถาบันการเมืองอย่างแท้จริงและเป็นของประชาชน เพราะประชาชนคือผู้ที่จะตัดสินว่านักการเมืองจะสอบได้หรือสอบตก ส่วนเรื่องร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น ต้องตั้งโจทย์ใหม่ ไม่ใช่เพียงแค่การกำจัดนักการเมือง พรรคการเมือง แต่ต้องเป็นการพัฒนา ทำอย่างไรพรรคการเมืองเป็นสถาบันการเมืองที่เป็นทางเลือกของประชาชน และนักการเมืองที่ไม่ดีต้องถูกลงโทษจากทางพรรคและประชาชน พร้อมฝากว่าวันนี้ขอให้ร่างรัฐธรรมนูญโดยฟังเสียงจากภาคประชาชนเพราะเมื่อประชาชนมีส่วนร่วมก็จะไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่บังคับใช้แต่เป็นรัฐธรรมนูญที่เต็มใจใช้
..ผสข.ปิยะธิดา เพชรดี