ภายหลังจากศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้นัดตรวจพยานหลักฐานในคดี ที่อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฐานความผิดฐานละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ศาลได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ศาลฎีกาฯ มีอำนาจพิจารณาคดีนี้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 จึงให้ยกคำร้องของจำเลยที่ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรอการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราว เนื่องจากเห็นว่าคดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง
ส่วนที่จำเลยยื่นคำร้องขอคัดค้านบัญชีพยานโจทก์ โดยอ้างว่าโจทก์เพิ่มเติมพยานโดยไม่สุจริต ไม่เป็นธรรม ขอให้ศาลไม่รับพยานเข้าสู่สำนวนนั้น องค์คณะผู้พิพากษาเห็นว่า แม้ตามกฎหมายในการไต่สวนจะให้ยึดสำนวนจาก สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เป็นหลัก แต่ศาลฎีกาฯ มีอำนาจเรียกพยานไต่สวนได้ และฝ่ายจำเลยก็สามารถนำพยานเข้าสืบเพื่อหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ จึงให้ยกคำร้อง
และคดีนี้ทั้งสองฝ่ายได้อ้างพยานบุคคลจำนวนหลายปาก และพยานเอกสารจำนวนมาก ศาลฎีกาฯ จึงให้คู่ความทั้งสองฝ่ายร่วมกันพิจารณาพยานหลักฐานและพยานบุคคลในคดี ทุกวันพุธ เวลา 09.00 น. จนกว่าจะแล้วเสร็จ และให้นัดพร้อมคู่ความทั้งสองฝ่ายเพื่อกำหนดวันไต่สวนพยานในวันที่ 29 ตุลาคม ในเวลา 09.30 น.
จากนั้น นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวยอมรับว่า หนักใจที่ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานในกรอบเวลาแค่ 2 เดือน เพราะพยานหลักฐานมีจำนวนมากทั้งเอกสารกว่า 60,000 หน้า และพยานอีก 72 ปาก จึงกำชับให้ทนายความทำการบ้านอย่างหนักและเต็มที่ โดยในวันที่ 29 ตุลาคม จะเดินทางมาด้วยตนเอง
...ผสข.ปิยะธิดา เพชรดี