*นายกฯขอญี่ปุ่นใช้ไทยเป็นฐานการผลิตในอาเซียน เร่งอำนวยความสะดวก–ดูแลนักท่องเที่ยว*

21 สิงหาคม 2558, 18:49น.


ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยกับญีปุ่น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวสุนทรพจน์ในงาน "นายกรัฐมนตรีพบนักธุรกิจญี่ปุ่น" ซึ่งจัดโดยสมาคมไทยญี่ปุ่นร่วมกับหอการค้าญี่ปุ่น กรุงเทพ ที่โรงแรมดุสิตธานี ว่า ต้องการให้นักธุรกิจญี่ปุ่นทราบนโยบายของรัฐบาล และนำนโยบายของรัฐบาลตัดสินใจในการลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทย ซึ่งไทยกับญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ที่ดีมายาวนานหลายร้อยปี มีอะไรหลายๆ อย่างคล้ายกัน เช่น การค้า วัฒนธรรม ความมั่นคง และมีความผูกพันธ์ในด้านการศึกษา เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว มีคนไทยไปอยู่ญี่ปุ่นและมีคนญี่ปุ่นมาอยู่ไทยเป็นจำนวนมาก และต้องขอขอบคุณที่ญี่ปุ่นช่วยเหลือไทยมาตลอด ซึ่งตัวเองรู้ดีว่าการเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแบบนี้จะทำให้หลายประเทศอึดอัด แต่อยากขอเวลาแก้ปัญหา เพราะก่อนหน้านี้ไทยมีปัญหาหลายอย่าง รวมทั้งจะช่วยเหลือให้ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในไทยได้ง่ายขึ้น อยากให้ญี่ปุ่นมองไทยเป็นฐานการผลิตในอาเซียน โดยไทยจะอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ จะกระตุ้นการเบิกจ่ายงบประมาณ การลงทุนต่างๆ ส่วนโครงการอะไรที่ไม่ได้รับการอนุมัติ จะเร่งอนุมัติให้เร็วที่สุด





นอกจากนี้อยากขอความร่วมมือจากญี่ปุ่นให้ช่วยเหลือไทยในเรื่องการปรับปรุงคุณภาพสินค้า และนวัตกรรมต่างๆ รวมทั้งการท่องเที่ยว แม้ว่าไทยจะผ่านเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่แยกราชประสงค์ ตัวเองรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง กับการสูญเสียชีวิตของนักท่องเที่ยว ขณะนี่อยู่ในระหว่างการพิจารณาเงินเยียวยา และไม่คิดว่าจะเกิดเหตุดังกล่าวขึ้นล่าสุดยังไม่ทราบสาเหตุและอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ คาดว่าเร็วๆนี้จะได้ข้อสรุป และรับปากว่าจะดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวให้ดีที่สุด



นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การทำงานของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่  ในระยะแรกยังมีปัญหาติดขัดและมีข้อขัดแย้งต่างๆ มากมาย คาดว่าจะดีขึ้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างการรอเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อถวายสัตย์ปฎิญาณตนก่อนเข้ารับตำแหน่ง คาดว่าไม่เกินสัปดาห์หน้า ซึ่งรัฐบาลอยู่ในช่วงเดินหน้าประเทศระยะที่ 3 ที่เน้นขับเคลื่อน สร้างความเข้มแข็ง และความร่วมมือระหว่างประเทศอาเซียน



ทั้งนี้ก็ได้เร่งรัดให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน( BOI) อนุมัติโครงการไปกว่า 1.1 ล้านล้านบาท จะพยายามปลดล็อกโครงการต่างๆ ไม่ให้ผูกพัน ซึ่งรัฐบาลก็ได้มีการออก พ.ร.บ. อำนวยความสะดวกในการอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 เพื่อให้อนุมัติโครงการต่างๆ ดีขึ้น  เพื่อให้เอกชนดำเนินการ เพราะมีความพร้อมกว่ารัฐบาล รวมทั้งรัฐบาลเองก็ทำไม่ไหว และรายได้ประเทศส่วนใหญ่อยู่ในการส่งออกกว่าร้อยละ 70 ซึ่งกว่าร้อยละ 90 เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม( SME) ตลอดจนเศรษฐกิจไทยเริ่มขยายตัวจากมิตรประเทศที่ร่วมลงทุนไปสู่อุตสาหกรรมและพัฒนาสินค้าการเกษตรในอนาคต



ผู้สื่อข่าว:สมจิตร์ พูลสุข

ข่าวทั้งหมด

X