+++หลังจากธนาคารกลางจีน ปรับลดอัตราอ้างอิงแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนรายวันลงติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ที่ร้อยละ 1.11 ทำให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลง3 ครั้งรวมร้อยละ 4.7 นายจ้าง เซียว ฮุย ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารกลางจีน ยืนยันว่า ในขณะนี้ยังไม่มีพื้นฐานใดๆ จะทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนลดค่าลงไปกว่านี้ และจะรักษาเงินหยวนให้อยู่ในสถานะที่มั่นคงและสมดุล ซึ่งธนาคารกลางจีนจะเข้าควบคุมสถานการณ์ทันทีหากเกิดความผันผวนมากเกินไป ท่าทีของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางจีน สร้างความผ่อนคลายให้กับนักลงทุนมากขึ้นหลังจากที่สองวันก่อนหน้านั้นตลาดทุนทั่วโลก ได้รับแรงสั่นสะเทือนอย่างหนักมาแล้วจากการปรับลดค่าเงินของจีนในครั้งนี้
+++นายอรุณ จิรชวาลา กรรมการธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า การที่จีนลดค่าเงินเป็นการออกอาการอ่อนแอของเศรษฐกิจ ทั้งที่ยังเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ และมีทุนสำรองสูงมาก แต่หลังจากถูกสหรัฐฯ กดดันให้เงินหยวนแข็งค่ามากว่า 2 ปี ในที่สุดจีนก็เปิดเกมลดค่าเงินเพื่อรักษาตลาดส่งออกที่เริ่มเสียให้กับคู่แข่งที่มีค่าเงินอ่อนค่ากว่า สิ่งที่จะตามมาก็คือประเทศผู้ส่งออกอื่นจะลดค่าเงินด้วย เพราะเห็นว่าเป็นนโยบายที่ได้ผลที่จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เหมือนสหภาพยุโรป(อียู) และญี่ปุ่น ยังประเมินไม่ได้ว่าจีนจะลดค่าเงินหยวนลงไปถึงเท่าไหร่ นักลงทุนกลัวขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน จึงเทขายหุ้นออกจากประเทศที่คาดว่าค่าเงินจะอ่อน จากนี้ไปค่าเงินทุกสกุลและตลาดหุ้นโลกจะผันผวนมาก
+++นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า ตลาดเงินกำลังจับตาการลดค่าเงินหยวน ตลาดเงินจีนก็เริ่มมีความเสรีที่มากขึ้น ทางการจีนก็เข้าไปแทรกแซงค่าเงินอยู่บ้าง ส่วนหนึ่งอาจเพราะเห็นว่าค่าเงินหยวนอ่อนค่าเร็วเกินไป โดยเฉพาะค่าเงินหยวนที่ซื้อขายและการส่งมอบกันที่ฮ่องกง ซึ่งอ่อนค่าเร็วกว่าเงินหยวนที่ซื้อขายกันในประเทศจีน ค่าเงินบาทก็อ่อนค่าลงเช่นกันตามค่าเงินอื่นในภูมิภาคแต่ระดับการอ่อนค่ายังน้อยกว่าเงินหยวนของจีน
+++นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า กรณีการลดค่าเงินหยวนของจีนส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยพอสมควรโดยราคาหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงตอบรับข่าวอย่างรวดเร็วสอด คล้องทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลกแต่ ยังต้องรอประเมินให้รอบด้านว่าการใช้นโยบายการเงินของจีนในครั้งนี้จะมีผลต่อภาคเศรษฐกิจและกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนมากน้อย
+++นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โทรศัพท์หารือกับนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธปท. ถึงการดูแลค่าเงินบาท ผู้ว่า ธปท.ยืนยันว่า ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเงินทุนสำรองของไทยอยู่ที่ระดับ 1.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สามารถใช้มาตรการทางการเงินที่มีอยู่ดูแลค่าเงินต่อไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีมาตรการใหม่ๆ
+++นายสมหมาย ภาษี เปิดเผยว่า ขณะนี้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างความเชื่อมั่นโดยเป็นหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพียงผู้เดียว ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของรองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจหรือ รมว.คลัง เนื่องจากนักลงทุนรอฟังความชัดเจนจากนายกฯ โดยเฉพาะกระแสข่าวการปรับครม. ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนต้องหยุดชะงัก และการที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงตั้งแต่เดือนมิ.ย. ไม่ใช่ผลกระทบจากการที่จีนปรับลดค่าเงินหยวน แต่เป็นเพราะความไม่มั่นใจรัฐบาลว่าจะปรับเปลี่ยนตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างไร กระแสการปรับครม.ด้านเศรษฐกิจ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งไม่ดีต่อประเทศ
+++นายสมหมาย กล่าวว่า ต้องการให้ นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการดูแลวงเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติให้มากขึ้นควรพยายาม ดำเนินการตามโรดแม็พที่วางไว้ เช่น โครงการลงทุนทวายซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล ต่างชาติพร้อมจะลงทุนอยู่แล้วขาดแต่ความเชื่อมั่นไม่ใช่กังวลเฉพาะเรื่องปัญหาเศรษฐกิจภาย ในประเทศ ที่สร้างแต่ความเชื่อมั่นให้กับพ่อค้าแม่ค้าเพราะเขามั่นใจอยู่แล้ว ซึ่งการสร้างความน่าเชื่อภายในประเทศทำได้ไม่ยากอยู่แล้วจึงไม่อยากให้ไทยต้องสูญเสียโอกาส
+++น้ำมันโลกร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี ท่ามกลางความกังวลต่ออุปทานล้นตลาด น้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนกันยายน ลดลง 1.07 ดอลลาร์ ปิดที่ 42.23 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2009 ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 44 เซนต์ ปิดที่ 49.22 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ตลาดน้ำมันแกว่งตัวขึ้นลงตลอดทั้งสัปดาห์ ท่ามกลางความกังวลต่อสถานะทางเศรษฐกิจของจีน นายจีน แมคกิลเลียน โบรกเกอร์และนักวิเคราะห์จากเรดิชัน เอเนอร์จี มองว่ามีความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันจะลดต่ำลงไปกว่านี้อีก ความเห็นของนายแมคกิลเลียน มีขึ้นหลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯเผยแพร่ข้อมูลว่าคลังน้ำมันเบนซินสำรองของประเทศ ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 6 สิงหาค ลดลงถึง 1.3 ล้านบาร์เรล บ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่ฟื้นตัว
+++ส่วนหุ้นวอลล์สตรีท ทรงตัว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดในกรอบแคบๆท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวนจากข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ผสมผสาน ได้แก่ยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ และรายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวังของห้างสรรพสินค้าดังอย่างโคลส์และดิลลาร์ดส ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 5.74 จุด ปิดที่ 17,408.25 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 2.66 จุด ปิดที่ 2,083.39 จุด แนสแดค ลดลง 10.83 จุด ปิดที่ 5,033.56 จุด ยอดค้าปลีกสหรัฐฯในเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายนร้อยละ 0.6 สู่ 446,500 ล้านดอลลาร์ ดีกว่าที่คาดหมายว่าและกระแสข่าวลือว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) อาจขึ้นดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในเดือนกันยายน
+++ราคาทองคำ ปิดลบครั้งแรกในรอบ 6 วัน จากดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น หลังกระทรงพาณิชย์รายงานข้อมูลค้าปลีกที่สดใส โดยทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 8.00 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,115.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์
+++นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เปิดเผยว่า ราคาทองคำยังมีทิศทางขาลงต่อเนื่อง หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. นี้ จะ กดดันราคาทองคำในประเทศลดลงต่ำกว่า 17,000 บาทต่อบาททองคำ หรืออยู่ที่ประมาณ 16,500-17,000 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งต่ำสุดในรอบ 7 ปี จากกระแสเงินทุนจะไหลไปยังสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า รวมถึงความต้องการซื้อสะสมทองคำในช่วงนี้ยังมีค่อนข้างน้อย เพราะไม่มีเทศกาลสำคัญช่วยหนุน รวมถึงนักลงทุนไม่มีความเชื่อมั่นว่าราคาทองคำจะฟื้นตัวได้เร็ว ๆ นี้