การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนี้ มีวาระพิจารณามาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และการอนุมัติวงเงินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2558 โดยกระทรวงการคลังจะเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาเพื่อต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับบุคคลหรือนิติบุคคลที่บริจาคหรือให้การสนับสนุนองค์กรกีฬาออกไปอีก 3 ปี หรือตั้งแต่ 31 ธันวาคม 2558-31 ธันวาคม 2561 โดย กรณีบุคคลธรรมดาสามารถหักค่าลดหย่อนได้ 2 เท่าของเงินบริจาคแต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้สุทธิ ส่วนนิติบุคคลหักรายจ่ายได้ 2 เท่าของเงินบริจาคแต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิ คาดว่าภาครัฐจะสูญเสียรายได้ 1,200 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังต้องติดความคืบหน้าจากผลการประชุมในสัปดาห์ก่อน ที่เร่งรัดให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ 6 โครงการสำคัญดำเนินการให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และต้องรายงานความคืบหน้าให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีทราบภายในเดือนสิงหาคมนี้
โดยโครงการที่นายกรัฐมนตรีเร่งรัด ประกอบด้วย การแก้ปัญหาหนี้สินและค่าครองชีพของประชาชนทั้งระบบ การจัดหาที่อยู่ให้แก่ผู้มีรายได้น้อย การเชื่อมโยงธุรกิจชุมชน ธุรกิจเพื่อสังคม วิสาหกิจเพื่อสังคมกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ การก่อสร้างเส้นทางคมนาคมเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนในประเทศและเชื่อมโยงกับเพื่อนบ้าน ส่งเสริมการลงทุนเขตเศรษฐกิจพิเศษและการให้สิทธิประโยชน์การลงทุนที่สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนแต่ละประเภท และการควบคุมเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมและการไหลเข้าของข้อมูล
การถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ใกล้ได้ข้อยุติ เมื่อ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้ดูแลเรื่องนี้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันนี้ และยืนยันว่าหลังการประชุมจะต้องมีคำตอบที่ชัดเจน ทั้งนี้ พล.อ.ไพบูลย์แสดงความเข้าใจการทำงานของพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพราะในบางเรื่องข้าราชการประจำก็มีขีดจำกัด
ก่อนหน้านี้มีการเปิดเผยว่า พล.ต.อ.สมยศ ชี้แจงต่อนายกรัฐมนตรีถึงกรณีการถอดยศว่าจะทำได้ต่อเมื่อมีการกระทำความผิดขณะรับราชการตำรวจ แต่พ.ต.ท.ทักษิณลาออกจากราชการแล้ว จึงทำบันทึกถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเมื่อเดือนกรกฎาคม ซึ่งพล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่าเป็นการทำงานตามขั้นตอนและไม่สามารถเร่งรัดได้
ส่วนการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างฯ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ซึ่งมีวาระพิจารณาทบทวนบทบัญญัติใน 3 ประเด็นสำคัญ คือ ที่มา สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ และ กรณีกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ไทยพีบีเอส)
โดยในส่วนของประเด็นของกรรมการสรรหา ส.ว. และกรรมการยุทธศาสตร์ฯ นั้นยังไม่ได้ข้อสรุป และจะนำไปพิจารณาต่อในวันนี้
ด้านนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) พร้อมด้วย นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองประธาน สปช. คนที่ 1 และน.ส.ทัศนา บุญทอง รองประธาน สปช. คนที่ 2 ร่วมกันแถลงถึงการจัดงาน สปช. รายงานประชาชน เรื่อง "เปลี่ยนประเทศไทยกับ สปช. (NRC Blueprint for Change)" ในวันที่ 13 สิงหาคมนี้ เพื่อสรุปผลงานของ สปช.ทั้งหมด ประกอบด้วยวาระการปฏิรูป 37 วาระ และ 6 วาระพัฒนา ซึ่งเป็นผลการศึกษาที่แตกแขนงออกมาจากแนวทางการปฏิรูปด้านต่างๆ ทั้ง 11 ด้าน ตามที่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวกำหนด โดยจะจัดทำเป็นรูปเล่มเพื่อนำเสนอต่อประชาชน และจะส่งมอบผลงานให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยได้เชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เข้าร่วมพิธีรับมอบผลงานของ สปช.
ทั้งนี้ นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า กมธ.ยกร่างฯจะส่งร่างรัฐธรรมนูญให้ สปช.วันที่ 22 สิงหาคมนี้ จากนั้นสปช.ใช้เวลาอีก 15 วัน ก่อนลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบระหว่างวันที่ 5-7 กันยายนนี้ หากสปช.รับร่างก็มีสิทธิตั้งประเด็นคำถามในการทำประชามติให้ ครม.พิจารณา 1 ประเด็น แต่งานของสปช.ยังไม่ยุติ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในภาค 4 ว่าด้วยการปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง กำหนดงานด้านการปฏิรูป 11 ด้านไว้ อย่างไรก็ตาม หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านความเห็นชอบจาก สปช.จะถือว่า ทั้งสปช.และกมธ.ยกร่างฯจะสิ้นสุดลง และคสช.จะตั้งคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ 21 คน ขึ้นทำหน้าที่ต่อ
และปิดท้ายที่ นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาการสร้างแรงจูงใจให้กองถ่ายทำภาพยนตร์ระดับโลก เลือกประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ (โลเกชั่น) ด้วยวิธีการคืนเงินสดให้กองถ่ายทำภาพยนตร์ทันที ที่ได้เข้ามาใช้จ่ายและลงทุนถ่ายทำภาพยนตร์ในไทย วงเงินไม่ต่ำกว่า 100-200 ล้านบาท โดยจะให้คืนเงินสดให้ในสัดส่วนร้อยละ 15-20 ของวงเงินที่ใช้ในไทย เนื่องจาก ไทยพลาดจากการถูกเลือกเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “สตาร์วอร์ส” ที่ตัดสินใจไปใช้สถานที่ของประเทศอังกฤษ เพราะมีการให้สิทธิประโยชน์ที่ดีและมากกว่าไทยจะสามารถให้ได้ ซึ่งรัฐมนตรีท่องเที่ยว อธิบายว่ามีหลายประเทศที่ใช้วิธีการนี้ อาทิ ภาพยนตร์เรื่อง เจมส์ บอนด์ ได้ไปถ่ายทำที่เม็กซิโก ซึ่งรัฐบาลเม็กซิโกจ่ายเงินสดคืนให้ในจำนวน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่กำหนดให้ต้องมีนักแสดงชาวเม็กซิกันร่วมแสดงในภาพยนตร์ และเนื้อหาต้องเป็นบวกกับประเทศด้วย
*-*