เมืองไทยฯ(1):นายกเปิดงานศิลปาชีพฯ/รธน.หารือที่มาส.ว./ประมงยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือ

10 สิงหาคม 2558, 07:20น.


วาระงานในวันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดงาน ศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกล ด้วยพระบารมี ภายใต้ชื่อ "งาน OTOP ศิลปาชีพ ประทีปไทย สมเด็จแม่ทรงให้ ภูมิปัญญาไทย...สู่สากล" ที่ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี



นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ชี้แจงแนวทางการดำเนินงานการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ” โครงการรัฐ-ราษฎร์ร่วมใจ ห่วงใยผู้สูงอายุ ที่โรงแรมเดอะทวินทาวเวอร์ กรุงเทพฯ จากนั้น จะประชุมคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ (คกส.) ที่ทำเนียบรัฐบาล



ส่วนนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่ทำเนียบรัฐบาล



ด้าน พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะหารือกับฝ่ายกฎหมายเป็นการภายใน กรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี เร่งรัดเรื่องการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี



การประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.) ในวันที่ 10-11 สิงหาคมนี้จะเป็นการประชุมลับ ซึ่งนายมานิจ สุขสมจิตร รองประธาน กมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า เป็นการพิจารณาเรื่องที่ค้างการพิจารณา โดยเฉพาะเรื่องที่มาของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งจะดูในส่วนของเนื้อหาและบทเฉพาะกาล และเรื่องโครงสร้างคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง ประเด็นปัญหาที่ขอให้ทบทวนการใช้ภาษีบาปโดยตรงของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสและสำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพแห่งชาติ



นายไพบูลย์ นิติตะวัน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ คาดว่าในวันนี้ จะได้ข้อสรุปเรื่องหลักการของการได้มาซึ่ง ส.ว.



ส่วนในวันพรุ่งนี้ นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) นัดประชุมเพื่อพิจารณาวาระการปฏิรูปเรื่องการจัดทำแผนการปฏิรูปกิจการตำรวจ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับปัญหาการแทรกแซงในกิจการตำรวจ การปฏิรูปองค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) การแต่งตั้งโยกย้ายต่างๆ การถ่ายโอนภารกิจของตำรวจให้หน่วยงานอื่นที่มีภารกิจหน้าที่โดยตรงไปดำเนินการแทน รวมทั้งประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงอยู่ในขณะนี้ นั่นคือประเด็นการแยกงานสอบสวนออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)



ส่วนกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประกาศใช้มาตรา 44 รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) โดยให้นายทะเบียนเรือตามกฎหมายว่าด้วยเรือไทย งดจดทะเบียนเรือไทยสำหรับการประมง หรือเรืออื่นตามที่ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) กำหนดที่จะขอจดทะเบียนเรือใหม่ทุกประเภทและทุกขนาด หรือเปลี่ยนประเภทการใช้เรือจากเรือประเภทอื่นมาเป็นเรือประมง ทั้งนี้ จนกว่าจะมีการกำหนดให้มีการจดทะเบียนเรือไทยสำหรับการประมงหรือเรืออื่นเพิ่มเติมได้ตามหลักเกณฑ์ที่ ศปมผ.ประกาศกำหนด รวมทั้งให้ยึดทำลายเรือประมงไม่จดทะเบียน และมีอุปกรณ์ที่ผิดกฎหมายนั้น



พล.ร.ท.จุมพล ลุมพิกานนท์ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารเรือ ในฐานะโฆษก ศปมผ. แจ้งว่า เรือประมงใหม่ที่ต้องการจดทะเบียนเรือนั้น ขอให้ชะลอไว้ก่อน เนื่องจากขณะนี้ไทยทำประมงเกินปกติ (over fishing) โดยมีจำนวนเรือมากกว่าทรัพยากรทางทะเล นอกจากนี้ มีเรือที่จดทะเบียนมากกว่า 4 หมื่นลำ แต่มีเรือที่ออกทำการประมงจริงประมาณ 28,000 ลำ จึงจะต้องมีการตรวจสอบเรือที่จดทะเบียนแต่ไม่ได้ออกทำประมงด้วย ซึ่งเจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารเรือ อธิบายว่า การหยุดจดทะเบียนเรือ เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาไอยูยู เพราะการจับสัตว์น้ำที่มากเกินปกติ ทำให้เรือประมงต้องออกนอกน่านน้ำไทยไปจับปลาน่านน้ำชาติอื่น ซึ่งผิดกฎหมายด้วย



อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มประมงหลายกลุ่มที่เรียกร้องให้ทบทวนการใช้มาตรา 44 ในการยึดเรือ โดยในวันนี้ กลุ่มประมงพื้นบ้านรอบอ่าวปัตตานี จะยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี เพื่อส่งต่อถึงนายกรัฐมนตรีต่อไป



ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เตชะนิธิสวัสดิ์ นายกสมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย กล่าวว่า การแก้ปัญหาประมงของไทยถือว่าเดินมาถูกทาง แต่การประกาศให้เรือที่ยังมีเอกสารไม่ครบ หรือ ใช้อุปกรณ์ผิดกฎหมายหยุดทำประมง นั้นถือว่าไม่เหมาะกับการแก้ปัญหา และไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิตคนทำประมง



ด้านนายอำนวย ปะติเส รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบให้ผู้บริหารสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) นำแผนปฏิรูปโครงสร้างการบริหารองค์กร และแผนการเพิ่มระบบการกำกับดูแลไปหารือกับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ก่อนเสนอ ครม.เพื่อของบประมาณ 5,300 ล้านบาทคืนจากกระทรวงการคลังมาใช้แก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร เนื่องจาก กฟก.ไม่สามารถอนุมัติโครงการต่างๆ มากว่า 1 ปีเพราะ สตง.ตรวจสอบพบการใช้เงินผิดประเภท และปัญหาด้านจริยธรรมในองค์กร จึงไม่รับรองแผนดำเนินงานของ กฟก. รวมทั้ง กฟก.ยังไม่สามารถเลือกตั้งและคัดเลือกคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูฯ มาแทนกรรมการที่หมดวาระลงได้ ทำให้ต้องส่งเงินของ กฟก.คืนให้กระทรวงการคลัง 5,300 ล้านบาท



..

ข่าวทั้งหมด

X