การประเมินตัวเลขเศรษฐกิจประจำเดือนมิถุนายน 2558 นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ระบุว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาสสองปีนี้จะฟื้นตัวช้าๆ แต่การส่งออกยังซบเซาจากปัจจัยต่างๆ ส่วนการใช้จ่ายภาคเอกชนยังคงอ่อนแอ ทำให้ตัวเลขอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี) ทั้งปีคงอยู่ในอัตราใกล้เคียงหรือต่ำกว่าเล็กน้อยตามที่ประเมินไว้ก่อนหน้าว่าจะโตร้อยละ3
เศรษฐกิจเดือนมิถุนายน ยังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้วยแรงหนุนจากภาคท่องเที่ยวและการใช้จ่ายภาครัฐรวมทั้งการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวเล็กน้อย มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวกว่า2.3ล้านคนขยายตัวร้อยละ53.1 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันในปีที่แล้ว ส่วนมากมาจากจีน มาเลเซียและรัสเซีย แสดงให้เห็นว่าภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนไม่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีน รวมทั้งจากสถานการณ์เมอร์สในเกาหลีใต้ทำให้นักท่องเที่ยวจีนมาไทยมากขึ้น
ส่วนการเบิกจ่ายภาครัฐขยายตัวร้อยละ 22.3 เนื่องจากมีการลงทุนขนาดเล็กในหน่วยงานต่างๆของรัฐมากขึ้นแต่การลงทุนภาคเอกชนยังอยู่ระดับต่ำโดยเฉพาะโครงการใหม่ๆที่รอความชัดเจนของเศรษฐกิจและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ
ส่วนสถานการณ์การส่งออกยังชะลอตัวเหตุจากการชะลอตัวในเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะจากจีนรวมทั้งความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกที่ลดลงและการถูกตัดสิทธิภาษีจีเอสพี ซึ่งในเดือนมิถุนายนนี้มูลค่าการส่งออกรวมทั้งสิ้น 17,700ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐฯ หดตัวลงร้อยละ 8.9จากระยะเดียวกันเมื่อปีก่อน ทำให้รวมครึ่งปี 2558 มูลค่าการส่งออกหดตัวร้อยละ 4.9จากระยะเดียวกันในปีที่แล้ว คาดว่าทั้งปีการส่งออกอาจติดลบมากกว่าร้อยละ 1.5 ซึ่งเป็นตัวเลขเดิมที่ธปท.เคยคาดไว้ซึ่งอาจติดลบถึงร้อยละ4 ตามที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลังประเมินไว้และยอมรับว่าอาจส่งผลต่อจีดีพีด้วย ขณะที่การนำเข้าสินค้าปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยในระดับ0.3 เมื่อเทียบกับปีที่แล้วโดยเฉพาะการนำเข้าในหมวดเครื่องบินและน้ำมันดิบ
ขณะที่การบริโภคของภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นจากปีที่แล้ว โดยเฉพาะหมวดสินค้าไม่คงทนที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันและการบริการ อย่างไรก็ดีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังถูกบั่นทอนจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า และสถานการณ์ภัยแล้ง เชื่อว่าหากมีฝนตกลงมามากขึ้นจะช่วยลดผลกระทบได้มาก
นอกจากนี้ อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ อัตราเงินเฟ้อหดตัวน้อยลงที่ระดับ -1.07 ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 900 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ และดุลการชำระเงินยังเกินดุลประมาณ 1.4 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ส่วนแรงงานภาคเกษตรที่ไม่สามารถเพาะปลูกได้มีการเคลื่อนแรงงานเข้ามาทำในภาคผลิตและบริการแทน แต่พบว่าได้ผลตอบแทนไม่สูงนัก จึงช่วยชดเชยรายได้ที่ขาดไปเพียงบางส่วนเท่านั้น
ผู้สื่อข่าว:ธีรวัฒน์ สิทธิเกรียงไกร