*ปคม.ดำเนินคดีขบวนการค้ามนุษย์หลอกลูกเรือประมงไทยไปอินโดฯ*

30 กรกฎาคม 2558, 16:53น.


ความคืบหน้าภายหลังการช่วยเหลือลูกเรือประมงชาวไทยที่ถูกหลอกไปทำงานในประเทศอินโดนีเซีย ที่กลับมาถึงประเทศไทยช่วงหัวค่ำเมื่อคืนนี้ พ.ต.ท.ชูศักดิ์ อภัยภักดิ์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กองกำกับการ1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ หรือ บก.ปคม. เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่สามารถช่วยเหลือแรงงานทั้งหมด 69 คน และได้สอบถามบางส่วน 38 คน เกี่ยวกับข้อมูลขั้นตอนที่ถูกร้องไปทำงาน รวมถึงสอบประวัตินายจ้าง และนายหน้า ซึ่งแรงงานทั้งหมดได้แจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าของเรือ นายหน้า และผู้ที่หลอกลวงแล้ว และในวันที่ 3สิงหาคม เรียกประชุมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ บก.ปคม. ,กระทรวงแรงงาน ,กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มาประชุมเพื่อหาทางช่วยเหลือ เบื้องต้นก็จะต้องหาทางเยียวยาทวงสิทธิให้แรงงานกลุ่มนี้ได้รับเงินชดเชยค่าแรงงานที่ได้ไปทำ และต้องสืบสวนเพื่อดำเนินคดีกับขบวนการที่หลอกคนกลุ่มนี้ไปทำงาน ในส่วนของ ปคม. ก็จะส่งข้อมูลของผู้ที่ถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในขบวนการ ส่งให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ปปง. ตรวจสอบประวัติ และเส้นความเชื่อมโยงทางการเงินในขบวนการนี้ก่อน ที่จะมีการดำเนินการอื่นๆต่อไป



 





ด้านนางปวีณา หงสกุล  ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี กล่าวว่า ขณะนี้แรงงานที่อยู่ในการดูแลของทางมูลนิธิฯ มีทั้งสิ้น 38คน จากทั้งหมด 69 คน ซึ่งอีก30คน กระทรวงการต่างประเทศรับไปดูแล และ1คนมีคดีลักทรัพย์ติดตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวไปดำเนินคดี จากการสอบถามทั้งหมดเป็นแรงงานที่ถูกหลอกไปจากสถานีขนส่งหมอชิต ,สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ ,และสถานีรถไฟหัวลำโพง  แรงงานเหล่านี้จะถูกนายหน้า ที่ทำทีมาชักชวนหลอกคนกลุ่มนี้ ว่าสนใจทำงานประมงหรือไม่ จากนั้นก็จะถูกหลอกส่งให้นายจ้างเถื่อน นายหน้าจะได้รับค่าหัวคนละประมาณ 20,000บาท และนายจ้างเหล่านั้นก็จะทำเอกสารปลอมแปลงแรงงานประมงขึ้นมา  และให้คนกลุ่มนี้ออกไปทำงานในทะเล ซึ่งที่กลับมาได้เพราะเจ้าหน้าที่ทหารเรืออินโดนีเซียไปตรวจพบและประสานงานมายังทางการไทย ก่อนส่งตัวกลับมา จากที่ได้ข้อมูลจากแรงงานกลุ่มนี้ ทราบว่ายังมีแรงงานอีก 13คน ซึ่งมี1คนที่ป่วยหนัก ถูกเจ้าหน้าที่อินโดนีเซียควบคุมตัวอยู่ เนื่องจากไม่มีเอกสารยืนยันสัญชาติ จะเร่งประสานกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อหาหลักฐานประวัติจากทะเบียนราษฎร์ หรือทะเบียนกลางเพื่อนำไปยืนยันสัญชาติของคนกลุ่มนี้



ผู้สื่อข่าว:วิรวินท์ ศรีโหมด 

ข่าวทั้งหมด

X