หลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศหรือกพข.ที่มีพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการประชุมนายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานคณะอนุกรรมการด้านการจัดการข้อมูลและการสื่อสารประชาสัมพันธ์ในคณะกรรมการกพข. กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันให้เป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาที่สำคัญของประเทศ
นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การเชื่อมต่อทางการค้าและการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ พร้อมขอให้ทุกฝ่ายบูรณาการ การทำงานร่วมกันและให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนหลัก ภาครัฐจะทำหน้าที่สนับสนุน นอกจากนี้ กำหนดให้มีแผนปฎิบัติการระยะสั้น 2 ปีที่คณะอนุกรรมการทั้งหกคณะภายในกพข.ต้องส่งแผนปฎิบัติการมาและต้องมีผลเป็นรูปธรรมสองปีจากนี้ เพื่อหวังยกระดับความสามารถในการแข่งขันให้มากขึ้น ปัจจุบัน ไทยถูกจัดอันดับจากสถาบันพัฒนาการบริหารจัดการระหว่างประเทศหรือไอเอ็มดีของสวิตเซอร์แลนด์ให้อยู่อันดับที่ 30จาก 61 ประเทศ
ส่วนธนาคารโลก World Bank จัดอันดับไทยอยู่ในอันดับที่26จากปีที่แล้วในอันดับ 28 ในการจัดอันดับความยากง่ายในการทำธุรกิจ ทั้งนี้ แผนปฎิบัติการ2ปีต้องสอดคล้องกับแผนสภาพัฒน์และแผนยุทธศาสตร์ชาติ นอกจากนี้ กำหนดให้มีแผนระยะยาว และให้มีกลไกติดตามการทำงานพร้อมเร่งตั้งเป้าหมายการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ ขณะเดียวกันกำหนดให้ใช้มาตรการทางภาษีและเร่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะทักษะด้านภาษาและการป้อนแรงงานอาชีวะเข้าสู่ตลาดแรงงานให้มาก พร้อมทั้งกำหนดให้มีวิชาหน้าที่พลเมืองและการพัฒนากระบวนการทางความคิดด้วย
ด้านนายธานินทร์ ผะเอม ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ระบุว่า วันนี้คณะอนุกรรมการทั้งหกคณะ รายงานการทำงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ ขณะนี้การปรับตัวของภาคเอกชนดีขึ้น ได้รับความน่าเชือถือ ส่วนประสิทธิภาพการทำงานภาครัฐก็ดีขึ้นแต่โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจยังเป็นตัวฉุดการพัฒนาความสามารถของประเทศ เห็นได้จากการจัดอันดับที่ถูกจัดอยู่ระดับต่ำ และในอดีตรัฐไม่ได้ลงทุนงบในด้านโครงสร้างมากพอ โดยเฉพาะการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ รวมทั้งการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สวนทางปัจจุบันที่การแข่งขันกลับสูงขึ้นตามพลวัตรของแต่ละประเทศ ต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าไทยจะพัฒนาและยกอันดับความสามารถในการแข่งขันได้
ผู้สื่อข่าว: ธีรวัฒน์ สิทธิเกรียงไกร