นายแมตต์ ซิมป์สัน นักวิเคราะห์อาวุโสจากบริษัทสโตนเอ็กซ์ เปิดเผยว่า ราคาทองคำพุ่งทะลุ 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เนื่องจากนักลงทุน คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.25 ช่วงปลายเดือนนี้และจะปรับลดอีกครั้งในอัตราเท่ากันในเดือนธ.ค.นี้ เพื่อตอบสนองต่อภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ตามคำแถลงจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ราคาทองแบบเรียลไทม์ขยับขึ้นร้อยละ 1.4 อยู่ที่ 4,200.11 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อเวลา 06.59น.ของวันนี้(15 ต.ค.)ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่ราคาทองคำตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้า งวดส่งมอบเดือนธ.ค.ขยับขึ้นร้อยละ 1.4 อยู่ที่ 4,218 ดอลลาร์ต่อออนซ์
นอกจากนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงรู้สึกกังวลในเรื่องการชัตดาวน์หน่วยงานรัฐของสหรัฐฯหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯกล่าวเมื่อวานนี้(14 ต.ค.)ว่า รัฐบาลสหรัฐฯจะจัดทำบัญชีภายในวันศุกร์นี้(17 ต.ค.)ว่า มีโครงการใดบ้างที่ริเริ่มโดยพรรคเดโมแครต พรรคฝ่ายค้าน ที่รัฐบาลสหรัฐฯจะสั่งปิดในช่วงชัตดาวน์หน่วยงานรัฐเนื่องจากปัญหาขาดแคลนงบประมาณในระยะนี้ และยังไม่มีความชัดเจนว่า หน่วยงานของรัฐบาลกลางของสหรัฐฯจะเปิดทำการตามปกติเมื่อใด
อีกปัจจัยหนึ่งคือ ความตึงเครียดทางการค้าที่กลับมาปะทุขึ้นอีกครั้งระหว่างสหรัฐฯกับจีน ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่หวั่นเกรงว่า ข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน สองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกจะกระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ขู่เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว(10 ต.ค.)จะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงกว่าร้อยละ 100 โดยปัจจัยต่างๆเหล่านี้ ช่วยกระตุ้นการซื้อทองคำ ซึ่งถือว่า สินทรัพย์ที่ปลอดภัยในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
#ตลาดทองคำ
#ราคาพุ่งขึ้นต่อเนื่อง
ที่มา: รอยเตอร์, บลูมเบิร์ก