ที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ นางสาวปรารถนา ดิษยทัต อัครทูต รองผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ชี้แจงต่อถ้อยแถลงผู้แทนถาวรกัมพูชาประจำสหประชาชาติ ในเวทีการประชุมคณะกรรมการบริหารของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR ExCom) สมัยที่ 76 หลังจากที่ฝ่ายกัมพูชา กล่าวหาไทยละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติและอนุสัญญาเจนีวา ซึ่งห้ามการย้ายถิ่นของพลเรือนโดยใช้กำลัง การทำลายทรัพย์สิน และการลงโทษหมู่ รวมทั้งกล่าวหาว่าไทยรุกล้ำทำให้ประชาชนต้องพลัดถิ่น ทำลายบ้านเรือน ในพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว ทั้งที่อาศัยมาหลายชั่วอายุคน
นางสาวปรารถนา กล่าวชี้แจงพร้อมความเสียใจอย่างยิ่งที่ประเทศไทยต้องใช้สิทธิ์ในการพูดเพื่อตอบต่อถ้อยแถลงของกัมพูชา ทั้งที่เวทีพหุภาคีเช่นนี้ไม่ควรถูกใช้เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท็จและข้อกล่าวหาเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ประเทศไทยขอยืนยันว่า หมู่บ้านที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างถึงนั้น ตั้งอยู่ในดินแดนของไทย จากการที่ไทยตัดสินใจเปิดพรมแดนเพื่อให้ชาวกัมพูชาหลายแสนคนที่หลบหนีสงครามกลางเมืองในประเทศ เข้ามาพักพิงในไทยในช่วงปลายทศวรรษ 1970 อันเป็นการตัดสินใจที่เกิดจากความเห็นอกเห็นใจและหลักมนุษยธรรม ซึ่งเป็นรากฐานของธรรมเนียมปฏิบัติด้านมนุษยธรรมอันยาวนานของไทย
หมู่บ้านเหล่านี้เริ่มแรกเป็นเพียงที่พักพิงชั่วคราวในช่วงปี 1980 สำหรับชาวกัมพูชาที่หลบหนีการสู้รบผ่านการคัดกรองโดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เพื่อรอการตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่ 3 แต่หลังจากความขัดแย้งในกัมพูชาสิ้นสุดลงที่พักพิงชั่วคราวก็ปิดตัวลง แต่กลับยังมีชาวกัมพูชาเข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่และขยายการตั้งถิ่นฐานออกไปอีก แม้ประเทศไทยจะประท้วงหลายครั้งต่อการรุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย แต่รัฐบาลกัมพูชาไม่เคยตอบสนองหรือดำเนินการรับผิดชอบใดๆ ในทางกลับกัน ไม่นานมานี้ กองทัพกัมพูชาได้ระดมชาวกัมพูชา ทั้งเด็ก สตรี และพระภิกษุ เดินทางเข้ามาในพื้นที่ เพื่อยั่วยุประเทศไทย ซึ่งมีเจตนาเพื่อเพิ่มความตึงเครียด ซึ่งเป็นการละเมิดอธิปไตยและกฎหมายภายในของประเทศไทยอย่างร้ายแรง และเป็นการละเมิดพันธกรณีภายใต้กรอบความร่วมมือทวิภาคีที่มีอยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของกัมพูชาในการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและอนุสัญญาเจนีวา
การกระทำของประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของมนุษยธรรมและความเป็นมิตรที่ดีต่อเพื่อนบ้าน ไม่ควรถูกตอบแทนจากกัมพูชาในลักษณะเช่นนี้
ส่วนประเด็นที่เกี่ยวกับเชลยศึก ประเทศไทยขอย้ำว่า เชลยศึกจำนวน 18 คนถูกจับกุมได้ระหว่างการสู้รบที่กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ยืนยันว่าบุคคลเหล่านี้ได้รับการดูแลอย่างปลอดภัยและมนุษยธรรมอย่างครบถ้วนตามกฎหมาย ทั้งนี้คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ได้เข้าเยี่ยมเชลยศึกเหล่านี้เป็นประจำ และอำนวยความสะดวกในการติดต่อกับครอบครัวของพวกเขา การคุมขังพวกเขาไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็นมาตรการเพื่อไม่ให้ถูกนำกลับไปเข้าร่วมการสู้รบอีก พวกเขาจะได้รับการปล่อยตัวและส่งกลับประเทศเมื่อการสู้รบสิ้นสุดลง
อย่างไรก็ตามจนถึงปัจจุบัน กัมพูชายังคงปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรง ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และพยายามทำให้ประเด็นนี้กลายเป็นเรื่องระหว่างประเทศ แทนที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่ได้ตกลงไว้
....
#ชายแดนไทยกัมพูชา
#สหประชาชาติ
#กระทรวงการต่างประเทศ